ภาพถ่ายคืองานศิลปะอย่างหนึ่งและเป็นที่นิยมในสมัยปัจจุบัน กล้องถ่ายรูปเป็นปัจจจัยหนึ่งที่สมัยนี้หาได้ง่ายมีหลายราคาตั้งแต่หลักพันเป็นต้นไปจนถึงหลักหลายแสนบาท ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกล้องถ่ายภาพชนิดนั้น ๆ การถ่ายภาพและกล้องถ่ายรูปเป็นเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอย่างหนึ่งที่มีพัฒนาการมาอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มแรกของการถ่ายภาพ ประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสในช่วงสมัยปลายรัชการที่ 3 สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การถือกำเนิดของกล้องถ่ายรูปมาจาก หลุยส์ เจ. เอ็ม.ดาแกร์ ประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปที่สามารถใช้ได้จริง เมื่อปี พ.ศ.2382 หรือ ในปี ค.ศ. 1839 หลังจากนั้นอีก 6 ปี ต่อมากล้องถ่ายรูปก็ได้แพร่เข้ามาในอาณาจักรสยามโดยพระสังฆราชปาลเลอกัว สำหรับชาวสยามในสมัยนั้นการถ่ายรูปเป็นสิ่งใหม่และเป็นที่ตื่นตาตื่นใจมาก แต่ก็แฝงไปด้วยความกลัวเพราะมีความเชื่อว่าถ้าใครถ่ายภาพแล้วอายุจะสั้น เป็นงั้นไป สมัยก่อนการจะได้ภาพถ่ายออกมาแต่ละภาพนั้นบอกได้เลยว่า ต้องใช้เวลานานมากเพราะสมัยก่อนไม่มีระบบชัตเตอร์ แต่ใช้วิธีการรับแสงสะท้อนจากภาพด้านนอกเข้ามายังกระดาษที่ฉาบสารเคมี แล้วยังต้องใช้เวลารอถึงจะได้ภาพถ่ายภาพที่ได้เป็นภาพขาวดำ ต่อมาระบบการลั่นชัตเตอร์เกิดขึ้นทำให้การถ่ายภาพเป็นสิ่งที่รวดเร็วมากขึ้นรวมทั้งมีระบบม้วนฟิล์ม ที่เมื่อแสงตกกระทบผ่านเลนส์แล้วได้ภาพแบบขาวดำทันที ต่อมาได้พัฒนามาเป็นฟิล์มสี ซึ่งฟีล์มสีนี้ได้ก็ได้มีหลายแบบ ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 กล้องถ่ายรูปดิจิตอลได้เข้ามาแทนที่กล้องฟิล์ม ทำให้กล้องฟิล์มถูกลดบทบาทไปอย่างมากแทบใกล็จะสูญพันธุ์เลยก็ว่าได้เพราะการถ่ายภาพดิจิตอลสามารถเก็บไฟล์ภาพเป็นดิจิตอลลงในคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องล้างฟิล์มภาพถ่ายนำกลับมาใช้ได้ทันที ไม่ต้องกังวลในการเก็บรักษาฟิล์มที่ถ่ายแล้ว ถ่ายแล้วไม่ถูกใจก็ลบได้จากกล้องได้ทันที ที่สำคัญพกพาง่าย การถ่ายรูปถ่ายอย่างไร ในบทความนี้จะเน้นการถ่ายภาพเบื้องต้น โดยการใช้กล้องดิจิตอล อันดับเเรกเราต้องรู้จักกล้องถ่ายรูปกันก่อน กล้องถ่ายรูปหลัก ๆ มีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วนคือกล้องกับเลนส์ ทั้งที่เปลี่ยนเลนส์ได้และเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ เซนเซอร์ เป็นตัวรับภาพเมื่อแสงผ่านเลนส์เข้ามาแล้ว เซนเซอร์จะเป็นตัวรับภาพ และเซนเซอร์เป็นตัวกำหนดขนาดและการขยายของภาพ เซนเซอร์โดยทั่งไปมีอยู่ 3 ชนิด คือ 1. Micro Four Thirds x 2 2. apsc. โดยทั่วไป x1.5 x1.6 โดยทั่วไป แต่มีบ่างยี่ห้อ x1.3 3. Full frame ไม่ต้องคูณเพราะเซนเซอร์ใหญ่เต็มที่แล้ว การคำนวนของกล้องถ่ายภาพค่าความสว่างอยูที่เลข 0 หมายถึงแสงที่ตกกระทบกล้องพอดี การปรับค่ากล้อง (เบื้องต้น) การปรับค่ากล้องจะมีความสำคัญอยู่ 3 อย่างคือ 1. S.S. คือ ความไวชัตเตอร์ ปรับน้อยลงภาพจะสว่างแต่จับความเร็วภาพจะไม่ชัด ปรับค่าขึ้นภาพจะมืดลงแต่จับความเร็วได้ดี 2. ISO คือ ค่าความไวแสง ปรับค่าขึ้นภาพจะสว่างแค่คุณภาพของภาพจะด้อยลง ปรับค่าน้อยลงภาพจะมืด แต่คุณภาพของภาพจะดีขึ้น ถ้าปรับให้ค่า ISO สูงกว่าความเร็วชัตเตอร์ภาพจะเกิดนอส์ย ความเร็วชัตเตอร์ควรมากกว่า ISO 100 3. F คือ ค่ารูรับแสง ปรับให้ค่าต่ำรูรับแสงจะกว้างภาพจะสว่าง ปรับให้ค่าสูงรูรับแสงจะแคบภาพจะมืด ทั้งสามอย่างนี้มีความสำคัญกับการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก เพราะถ้าตั้งค่าอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไปจะทำให้ภาพสว่างจ้ามากหรือมีแสงขาวเยอะมากเกินไป หรือถ้าน้อยจนเกินไปภาพจะมืดจนมองไม่ชัด เพราะฉะนั้นมามองมาตรวัดพื้นฐานความมืดและความสว่างเป็นสิ่งสำคัญมาก 1. มาตรวัดค่าความมืดความสว่างอยู่ที่เลข 0 หมายถึง การคำนวนค่าความสว่างของกล้องถ่ายภาพอยู่ในระดับที่ พอดี 2. มาตรวัดค่าความมืดความสว่างต่ำกว่าเลข 0 หมายถึงภาพที่ถ่ายออกมาจะมืด 3. มาตรวัดค่าความมืดความสว่างเกินกว่าเลข 0 ถาพถ่ายจะออกมาส่างมาก แต่การวัดแสงหรือวัดค่าของความมืดความสว่างตามแบบมาตรฐานนี้ไม่มีกฎที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับแสงในสิ่งแวดล้อมของแต่ละสถานที่ ซึ่งถ้าถ่ายภาพออกมาแล้วในภาพมีแสงมากหรือน้อยจนเกินไปแต่มาตรวัดแสดงค่าที่ 0 เราสามารถปรับให้มากกว่าเลข 0 ได้เล็กน้อยในกรณีที่ภาพมีแสงมาก หรือปรับให้ต่ำกว่าเลข 0 ได้เล็กน้อยในกรณีที่ภาพมืดจนเกินไป การมองภาพผ่านกล้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มือใหม่แนะนำให้ดูจากจอ LCD. เพราะจะสามารถจัดองค์ประกอบได้ง่ายโดยเฉพาะ การวางแนวองค์ประกอบภาพแบบ 9 ช่องวางวัถุไว้บนกากบาทมุมซ้ายหรือมุมขวาเป็นการสร้างจุดสังเกต แต่ถ้าใครไม่ถนัดจริง ๆ ก็สามารถมองผ่านช่องมองภาพได้ และกล้องบางรุ่นบางยี่ห้อสามารถสร้างตาราง 9 ช่องในช่องมองภาพได้เหมือนกันครับหรือจะให้วัตถุอยู่กลางภาพก็ได้ ส่วนการโฟกัสต้องการถ่ายวัตถุอะไรให้นำจุดโฟกัสไปทาบกับจุดนั้นหรือเลื่อนจุดโฟกัสไปที่วัตถุนั้น ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพนะครับ บทความถ่ายภาพมีต่อแน่นอนครับ ภาพถ่ายโดย พงศธร อิ่มอุดม ผู้เขียนบทความ