บอกเลยว่าเป็นหนังที่ตามเก็บก่อนหนังใหม่ๆจะเข้าพรุ่งนี้ (ก่อนวันที่ 21 ตุลาคม 2564) หนังเรื่องนี้ทำให้ผม "เซอร์ไพรส์" พอสมควรครับ เพราะ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมได้ดูหนังที่ Feeling คล้ายๆกับเรื่องนี้คือ No Time to Die ที่เป็น Action Movie เหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้จะออกแนว Assasin, Infiltration (ลอบเล้น,แทรกซึม) มากกว่าคือ จะไม่มีฉากบู๊เยอะเท่า No Time to Die ขนาดนั้น แต่รับประกันความมันส์ครับ เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่ใช้คำว่า "กลมกล่อม" ครับนิยามของคำนี้ในเรื่องนี้คือ ไม่มีช่วงคล้องช้าง หรือ ช่วงน่าเบื่อเลย Drama (เรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ) และ Conflict (ความขัดแย้ง,ปมปัญหา) ก็ค่อนข้างเข้ากับตัวละครตัวนั้นได้ดี มีการเล่าเรื่องของตัวละครไปพร้อมๆกับเนื้อเรื่องเลย ไม่มีการแบบเล่าหรือ Flashback อะไรเลย เพราะปมของตัวละครตัวนั้นเนี่ยจะถูกแก้ไประหว่างทางไปพร้อมๆกับการทำภารกิจของ Squad นี้ ขอเรียกเป็น Squad นะครับ เพราะ เวลาการวางแผน เวลาปฏิบัติการไปปล้น หรือการเจาะข้อมูลเข้าที่ต่างๆนั้นอารมณ์มันได้ และตอนที่ลอบเล้นเข้าไปในตึกนี่ผมบอกเลย "โคตรมันส์" อย่างที่บอกครับ ไม่ได้มีฉาก Action เยอะขนาดนั้น แต่ความมันส์ของเรื่องนี้จะเป็นการกดดันระหว่างภารกิจ ตัวละคร ทอม ที่เป็นเด็กใหม่จะผ่านไปได้ไหม จะถูกไว้ใจโดยกลุ่มนั้นหรือเปล่าจากภาพข้างบน คนซ้ายสุด คือ Thom Laybrick รับบทโดย Freddie Highmore วิศวกรอิจฉริยะ ที่เป็นมันสมองของทีมที่แก้ปัญหาที่ยากระดับโลกได้อย่างกับปลอกกล้วยเข้าปากครับ ซึ่งเส้นเรื่องจะดำเนินผ่านตัวละครตัวนี้เป็นหลักคนตรงกลางนั่นคือ Lorraine รับบทโดย Àstrid Bergès-Frisbey เป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในทีมส่วนใหญ่จะทำภารกิจแนว Infiltration (แทรกซึม) , Disguise (ปลอมตัว) เข้าไปในสถานที่สำคัญ อย่างตู้เซฟ เพื่อช่วงชิงข้อมูลและหลักฐานสำคัญของภารกิจคนที่ 3 ชื่อ James รับบทโดย Sam Riley เป็นหนึ่ง1หน่วยหัวหมู่ทะลวงฟันของทีม ซึ่งจะเป็นหน่วยที่เข้าชาร์จก่อน และ ทำภารกิจเสี่ยงอันตรายได้โดยไม่ลังเลซึ่งเนื้อเรื่องจะดำเนินการด้วย 3 ตัวละครนี้เป็นหลักครับ เพราะ Turning Point ของเรื่องจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน 3 ตัวละครนี้จะเป็นตัวละครที่มี Majority Impact (ผลกระทบส่วนมาก) มากที่สุด ครับผม ต่อไปผมจะแนะนำสถานการณ์แบบไม่สปอยล์มากนะครับ เพื่อเกริ่นๆไว้สำหรับผู้อ่านที่สนใจและอยากไปลองหาดู มันจะมีช่วงที่ตัวละครตัวนึงพลาด และทอมช่วยไว้ ถ้าคนไปดูจะรู้เลยครับว่าเป็น Scene ไหน ซึ่งบอกเลยว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของหน่วยนี้นี่โคตรหักเหลี่ยมเฉือนคม และอีกอย่างนึงที่ทำให้หนังเรื่องนี้เซอร์ไพรส์สำหรับผมเลยคือ "เอกลักษณ์" ของตัวละคร เพราะแต่ละตัวละครมีมิติเป็นของตัวเอง แม้แต่พวกคนร้ายก็ยังมีฉากฮาๆแบบตลกร้ายที่แบบ คือสถานการณ์ จะเป็นงานบอลนัดชิง และคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ติดต่อหัวหน้าวายร้ายแต่หัวหน้าวายร้ายบอกว่า "ถ้าคุยเรื่องบอลหรือเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานอีก ฉันจะไล่นายออก มีสมาธิกับงาน ตั้งใจทำงานซะ" แล้วพอมีเหตุการณ์ที่ทำให้หัวหน้างานไม่พอใจ เค้าก็จะหันหน้ามามอง ทำสีหน้าโกรธๆ และ รองหัวหน้าก็จะมี Swag (บุคลิคท่าทาง) ที่แบบ "อีกแล้วหรอ" อะไรประมาณนี้ ฮาอยู่ครับตัวคะค่อนข้างจะมีความสมเหตุสมผลในเหตุผลของการกระทำอยู่ครับ เวลาไปดูจะรู้เลยว่า ทำไมตัวละครตัวนี้ถึงทำแบบนี้ ทำไมตัวละครแบบนี้ถึงโมโหร้าย ทำไมตัวละครนี้ถึงทรยศ เราจะเข้าใจเหตุผลของตัวละครตัวนั้นเองโดยไม่ต้องคิดก่อน และหนังเรื่องนี้ จบปลายเปิด สามารถไปต่อภาค 2 ได้ แบบสวยงามอยู่ครับ ส่วนข้อเสีย เอาจริงๆก็มีอยู่ครับ คือ การที่มีอะไรเกิดแบบ Suddenly คือแบบปุบปับก็เกิด Conflict ซะงั้นอะไรแบบนี้ แต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้น ประมาณนี้ครับข้อเสียของหนังเรื่องนี้ ประมาณนี้ครับกับความรู้สึกและรีวิวของผมกับ Way Down หยุดโลกปล้น เป็นหนังอีกเรื่องของคนที่อยากหาหนัง Heist(จรกรรม,ปล้น) หรือหนัง มันส์ๆ ที่อารมณ์ต่างจาก No Time to Die ทำไมผมถึงเปรียบเทียบกับเรื่องนี้ เพราะความ มันส์ ที่แตกต่างกัน ที่ผมเปรียบเทียบกับเรื่องนี้เพราะมีความคล้ายกันอยู่บ้างแต่ต่างกันตรงรูปแบบการเข้าปะทะและปฏิบัติการ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องไหนดีหรือไม่ดีกว่ากัน หนังทั้ง 2 เรื่อง มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปครับสำหรับคะแนนที่ผมจะให้กับ Way Down หยุดโลกปล้น คือ 8/10 ครับ ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆด้วยนะครับภาพประกอบ ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก Twitter : Way Downภาพปก จาก Facebook: Way Downยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตามครับผมเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !