สมัยที่เราเป็นเด็ก เชื่อว่า เราหลายคนคงมีความฝัน อยากท่องโลกกว้าง อยากไปต่างประเทศ หรือที่เค้าเรียกกันว่า “เมืองนอก” กันทั้งนั้น และถ้ามีโอกาสได้ไปอยู่ซักพักหนึ่ง เราคงมีความสุขมากๆ แต่ทำไงได้ล่ะ ชีวิตเราแต่ละคนเกิดมา มีต้นทุนในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาโชคดี ครอบครัวแสนจะร่ำรวย เป็นคุณหนู อยากไปเมืองนอกก็ได้ไป มีพ่อแม่อุปถัมภ์ ส่งให้เรียนเมืองนอก ตั้งแต่อายุยังน้อยในขณะที่เราหลายคนก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง หรือยากจนก็มี โอกาสที่จะไปเรียนเมืองนอก ก็ดูเหมือนเป็นความฝันที่ห่างไกลซะเหลือเกินและดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้เลยฉันก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือเก่งกาจอะไร มาจากครอบครัวที่ธรรมดาๆ มีแค่แรงกาย แรงใจ ความศรัทธา และความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงทำให้สำเร็จได้ ฉันจึงอยากจะแบ่งปันเรื่องราวบางส่วนของชีวิตฉันในช่วงนั้น มาไว้ในบทความ ซึ่งแบ่งเป็นเรื่องเล่าเป็นตอนๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้ลองพิจารณาเปรียบเทียบดูฉันเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แค่พออยู่พอกินเท่านั้น มีพี่น้อง รวมตัวฉันเอง ทั้งหมด 6 คน เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างใหญ่ พ่อกับแม่ก็ทำงานหนัก เพื่อส่งลูกทุกคนให้เรียนจนจบปริญญาตรี แล้วหลังจากนั้น ใครจะไปเรียนต่อ หรือทำอะไรต่อไปก็สุดแล้วแต่ พ่อมักบอกกับพวกเราอยู่เสมอว่า พ่อไม่มีอะไรให้นอกจากความรู้ในเรื่องการเรียนและอยากให้แต่ละคนเรียนให้สูงๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อกับแม่ (พ่อกับแม่ฉันจบแค่ ป.4 เท่านั้นนะ)และพ่อกับแม่ก็ยอมลำบาก โดยเฉพาะแม่ที่ยอมทำงานหนัก ทั้งช่วยพ่อขายของในร้านเล็กๆของเราและงานบ้านที่แสนหนัก เพราะต้องดูแลทำอาหารและดูแลหลายๆเรื่องให้กับคนทั้งครอบครัว โดยที่ไม่ร้องขอให้ลูกๆมาช่วยเลย เพียงเพราะต้องการให้ลูกๆเอาเวลาที่จะมาช่วยแม่ทำงานบ้านนั้น ไปอ่านหนังสือแทน พวกเราพี่น้องทุกคนจึงเป็นพวกรักการเรียนเป็นที่สุด และเป็นหนอนหนังสือกันซะส่วนใหญ่วันหนึ่งเพื่อนที่เรียน ม.ปลายด้วยกัน มาบอกเพื่อนๆว่า เค้าต้องหยุดเรียน ม.6 เพราะต้องไปเรียนต่อเมืองนอกที่ประเทศอเมริกา ที่บ้านเค้าส่งให้เค้าไปเรียน High School ที่โน่น ฉันก็เลยอยากไปบ้าง รู้สึกว่า มันเท่ห์ดี ฉันอยากไปเห็นโลกกว้าง จำได้ว่า เย็นวันนั้นฉันเดินไปบอกพ่อว่า ฉันอยากไปเรียนต่อเมืองนอก พ่อถามว่า ทำไมถึงอยากไป ฉันก็ตอบพ่อง่ายๆว่า ฉันอยากมีประสบการณ์ได้ไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกบ้าง พ่อบอกว่า “ได้ แต่ต้องหาเงินไปเรียนเองนะ พ่อส่งให้ไม่ได้นะ” ฉันก็พูดกับพ่อวันนั้นด้วยความหนักแน่นว่า “ได้” วันนั้นก็ไม่รู้ว่า ฉันนึกอะไรขึ้นมาที่รับปากกับพ่ออย่างหนักแน่แน่นในวันนั้น ฉันคิดง่ายๆแค่นั้นเองตามประสาเด็ก เพราะฉันรู้สึกแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้คิดถึงว่า มันจะยาก หรือต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง รู้แต่ว่า อยากไปเห็นโลกกว้างด้วยตาของฉันเอง แล้วจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่ความฝันของการเรียนต่อเมืองนอกของฉัน ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ วันนั้นแต่หลังจากนั้น ฉันก็ต้องวางความฝันการไปเรียนต่อเมืองนอกไว้ก่อน เพราะ ฉันต้องทุ่มเวลาให้กับการสอบเอ็นทรานซ์ เพื่อทำหน้าที่ของลูกที่ดีให้พ่อแม่ชื่นใจหากฉันสามารถสอบเอ็นทรานซ์ติด แล้วฉันก็ทำได้สำเร็จ สอบเอ็นทรานซ์ติด ซึ่งฉันก็ไม่ได้ติดคณะอะไรที่โด่งดัง เป็นเพียงคณะที่ใช้คะแนนสอบปานกลางเท่านั้น แล้วหลังจากนั้น ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนปริญญาตรีให้จบ แต่ความฝันที่อยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกของฉัน มันยังคงอยู่ในส่วนลึกๆๆๆๆในใจฉันอยู่ ฉันเก็บความฝันนี้ไว้กับตัวเอง ไม่ได้พูดให้ใครฟังจนเมื่อฉันเรียนใกล้จบ เพื่อนกลุ่มที่ฉันสนิทด้วยหลายคน ก็ได้ไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกที่ประเทศอเมริกา ที่บ้านเค้ามีฐานะดีกัน พ่อแม่ของพวกเค้ามีเงินพร้อมที่จะส่งเพื่อนฉันไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกากันหมดเลย ฉันก็ได้แต่คิดว่า ทำยังไงฉันถึงจะได้ไปเรียนต่อเมืองนอกบ้างนะ เพราะฉันยังไม่มีเงินไปเรียนต่อเลย แต่ฉันก็ไม่ท้อถอย สุดท้ายฉันก็ต้องวางความอยากไปเรียนต่อเมืองนอกเอาไว้ เพราะยังไม่พร้อมจริงๆ ฉันก็เลยตั้งใจว่า คงต้องทำงานเพื่อเก็บเงินไปเรียนสักปี 2 ปีแล้วกัน และในระหว่างนั้นก็เรียนภาษาเพื่อสอบวัดระดับภาษาเพื่อใช้ในการสมัครเรียน หรือที่เรียกว่า “TOEFL” ไปพรางๆก่อนในระหว่างที่ฉันทำงาน เก็บเงินไปเรียนอยู่นั้น ฉันก็ได้เจอเพื่อนที่ทำงานที่มีความคิดเหมือนฉัน คือ มีฝันหรือเป้าหมายไปเรียนต่อเมืองนอกที่ประเทศอเมริกาเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่เพื่อนที่ทำงานของฉันเป็นประเภทเด็กเรียนเก่ง เกรดดี แต่บ้านฐานะปานกลาง พวกเค้าต่างก็สมัครขอทุนการศึกษาต่อต่างประเทศของ ก.พ. จนได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่อเมริกา โดยมีเงื่อนไขว่า พอเรียนจบปริญญาโทแล้วต้องกลับมาทำงานใช้ทุน ตอนนั้นฉันก็คิดว่า ฉันอยากได้ทุนการศึกษาแบบพวกเค้าบ้างจัง เวลาฉันไป ฉันจะได้ไม่ลำบาก แต่เงื่อนไขของฉันก็ไม่เหมือนพวกเค้า เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัย (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อๆว่า “มหาลัย” นะ) ฉันก็ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งอะไร แถมทำกิจกรรมของสโมสรนักศึกษาอีก ฉันก็เรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.5 แล้วจะไปขอทุนอย่างเพื่อนที่ทำงานของฉันได้อย่างไร แต่ฉันก็ไม่คิดอะไรมาก แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อเตรียมความพร้อม รอโอกาสที่จะผ่านเข้ามาเท่านั้นเองฉันและเพื่อนๆที่ทำงาน ต่างก็มุ่งมั่นเรียนภาษาและสอบวัดระดับทักษะภาษาในทุกด้านที่มหาลัยที่โน่นกำหนด ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเหมือนคนอื่นๆ แต่พวกเราก็มีความสุข ไม่ได้เครียดอะไร เพราะพวกเรากำลังทำสิ่งที่เป็นความฝันของพวกเรา ตอนนั้น ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ฉันจะไปได้อย่างไร แต่ฉันก็เตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอกับโอกาสที่อาจผ่านเข้ามาได้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่โชคเข้าข้างฉัน คือ พ่อกับแม่ขายตึกที่เป็นมรดกของพ่อได้ เป็นแค่ห้องหนึ่งห้องของอาคารพาณิชย์ (ตึก) แล้วก็แบ่งเงินให้ลูกทุกคนจำนวนเท่าๆกัน คนละ ห้าแสนบาท ให้เก็บไว้เป็นเงินก้นถุง สุดแล้วแต่ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร พ่อกับแม่ก็จะแนะนำให้เก็บเอาไว้ เพราะไม่รู้จะมีโอกาสได้เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้อีกเมื่อไหร่ฉันก็เลยบอกพ่อกับแม่ว่า ฉันจะเอาเงินก้อนนี้ไปเรียนต่อที่อเมริกานะ แม่ก็ห้ามด้วยความเป็นห่วงอย่างมากว่า ถ้าเอาเงินไปเรียนต่อแล้วเงินหมดจะทำอย่างไร มันไม่มีเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้อีกแล้วนะ ฉันก็บอกแม่ว่า ไม่เป็นไรหรอก เงินทองของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่โอกาสที่จะได้ไปเรียนต่อเมืองนอกนั้น มันไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วนะ ถ้าไม่ไปตอนนี้ วันหลังคงไม่ได้ไปแล้วล่ะ โอกาสผ่านมาแล้ว ถ้าเราไม่ทำ มันก็จะผ่านไป ไม่กลับมาอีก แล้วแม่ก็ห้ามต่ออีกด้วยความเป็นห่วงฉันอย่างมากๆๆว่า แล้วฉันเป็นผู้หญิง จะไปอยู่ยังไง แม่เป็นห่วง ฉันบอกแม่ว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลตัวเองได้ เพราะตอนเรียนมหาลัย ฉันก็อยู่หอพักมหาลัยมาตลอด การเรียนก็ไม่เคยเสีย เรียนจบ 4 ปีตามที่มหาลัยกำหนด และไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีเพื่อนอยู่ที่โน่น สุดท้ายแม่ก็ทนความดื้อและความมุ่งมั่นของฉันไม่ไหว ก็ต้องยอมให้ไป (นี่เล่าย่อๆนะ ของจริงเรื่องยาวกว่านี้)สุดท้ายฉันก็ได้ไปเรียนต่อเมืองนอกสมกับที่ตั้งใจไว้ และในวันที่ฉันเดินทาง ฉันก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางขึ้นเครื่องเลยว่า “ไม่จบ ไม่กลับ” เพราะคนรอเหยียบย่ำ ดูถูก เย้ยหยัน มีเยอะ ดังนั้นฉันจึงต้องทำทุกวิถีทางให้เรียนจบกลับมาให้ได้ ฉันเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย และทำเรื่องขอทุนการศึกษาที่มหาลัยในอเมริกาที่ฉันเรียนปริญญาโทอยู่ จนได้ทุนการศึกษา 2 ทุน ชีวิตฉันตอนนั้นค่อยสบายขึ้นหน่อยแต่การเรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอกนั้น มันไม่ง่าย ต้องผ่านอุปสรรคอะไรหลายอย่าง ผ่านบทสอบจิตใจหนักๆหลายครั้ง ซึ่งมันเป็น Shot วัดใจความเข้มแข็งและแข็งแกร่งในตัวเรา ว่า “เราจะไปต่อ หรือเราจะถอยหลังกลับ” เพราะเราต้องไปอยู่ในประเทศที่ไม่มีใครที่จะให้พึ่งได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น แต่ฉันก็ผ่านมาได้ทุกครั้งด้วยความศรัทธาและความมุ่งมั่นของฉัน ว่า “สักวันฉันจะต้องได้ดี” แล้วฉันก็เรียนจบปริญญาโทจากที่อเมริกา และกลับมาได้อย่างภาคภูมิใจ ทำได้สำเร็จตามที่รับปากพ่อกับแม่ไว้เห็นไม๊ค่ะ ว่า ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เก่งอะไร เกิดมาในครอบครัวที่แค่พอมีพอกิน การเรียนก็ปานกลาง แถมเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก มีแค่ความฝัน แรงกาย แรงใจ ความศรัทธา และความมุ่งมั่น เป็นต้นทุนในการเดินทาง ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นที่แตกต่างจากคนทั่วไปเลย ก็สามารถประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ได้หากฉันทำได้ คุณก็ทำได้เหมือนกัน ขอเพียงหาความฝันของคุณให้เจอ แล้ว ใส่ความศรัทธา ความมุ่งมั่นลงไปในความฝันของคุณ แล้วก็ลงมือทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุดจนกว่าจะถึงเส้นชัย คุณก็สามารถทำได้สำเร็จเหมือนฉันเช่นกันค่ะสู้ๆ นะค่ะ ^_^(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปค่ะ ^_^)ภาพประกอบโดยผู้เขียน