"ทำไมต้อง 21 วัน?.."เชื่อว่าหลายคนอาจเคยได้เห็นหรือได้ยินผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว กับทฤษฎี 21 วัน ที่บอกว่า.. "หากอยากทำอะไรให้สำเร็จ จนทำสิ่งนั้นซ้ำ ๆ เป็นเวลา 21 วัน" แต่ทำไมต้อง 21 วันล่ะ? 20 ได้ไหม? หรือ 30 ได้หรือเปล่า? ไม่แปลกค่ะหากจะสงสัย ที่แปลกคือการไม่สงสัยเลยมากกว่า บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปทำความเข้าใจกันค่ะ ว่าทำไมต้อง 21 วัน พร้อมทริปที่จะทำให้ทฤษฎีสำเร็จได้ง่าย ๆทำไมต้อง 21 วัน ?ทฤษฎี 21 วัน เป็นเทคนิคที่มาจากหนังสือเรื่อง Psycho-Cybernetics ซึ่งเขียนโดย ดร. Maxwell Maltz ค่ะ โดยในหนังสือได้อธิบายไว้สรุปใจความได้ว่า สิ่งใดที่เรากระทำซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 21 วัน (หรือคิดเป็น 3 สัปดาห์นั่นเอง) จะเกิดความเคยชิน จนสมองสร้างการรับรู้ใหม่ กลายเป็น "นิสัย" ใหม่ของเราในที่สุด ซึ่งหากสามารถทำต่อเนื่องได้มากกว่า 21 วัน ก็จะยิ่งได้ลัพธ์ที่ดีมาก ๆ หากจะอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น ก็คือกระบวนการที่เส้นประสาทในสมองที่เรียกว่า 'นิวรอน (Neuron)' เกิดการเชื่อมโยงกันในการกระทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ จนกลายเป็น Path way ใหม่ของสมอง เพื่อน ๆ ลองจินตนาการตามนะคะว่าภายในสมองของเรากำลังก่อสร้างสะพาน สิ่งที่เราทำซ้ำ ๆ ในทุกวันติดต่อกัน คือการทำให้สะพานนั้นสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผ่านไปต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วันแล้ว ในสมองของเราก็จะมีสะพานใหม่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ 'นิสัยใหม่' ของเรานั่นเองค่ะ หลายคนทดลองนำทฤษฎี 21 วัน มาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง เช่น งดรับประทานอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ออกกำลังกายทุกวันอย่างต่อเนื่อง งดสูบบุหรี่ อ่านหนังสือทุกวัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 21 วัน โดยอาจตั้ง New year's resolution ไว้ตอนปีใหม่ แต่ก็พบว่า พอเข้าวันที่ 4-7 ก็เริ่มทำไม่ตรงเวลา เริ่มมีข้ออ้างเข้ามามากมาย จนอาจต้องผลัดวันประกันพรุ่ง และคนจำนวนไม่น้อยที่ล้มเลิกก่อน 21 วัน แล้วก็พาลว่าทฤษฎีนี้ไม่ได้ผลแต่ขอยืนยันจากประสบการณ์ของตัวเองเลยนะคะ ว่าทฤษฎีนี้ได้ผลจริง !! แต่หลายคนที่ล้มเหลวจากการทดลองทำตาม เป็นเพราะอะไรกัน และจะมีวิธีอย่างไรบ้างให้ฝึกวินัยจนสามารถเปลี่ยนนิสัยได้จริง บทความนี้จะเล่าให้ฟังค่ะCr : Unsplashสาเหตุแห่งความล้มเหลว..แม้จะมีที่มาของสาเหตุมากมาย ตามแต่สถานการณ์ของแต่ละคน แต่ที่สุดแล้ว สาเหตุหลัก ๆ ของการทำไม่สำเร็จก็คือ "ขาดความต่อเนื่อง" นั่นเองค่ะ หากได้หยุดแม้เพียง 1 วัน วันต่อ ๆ ไป ก็มักจะมีข้ออ้างให้ต้องหยุดอีก โดยปลอบใจตัวเองว่า "ไม่เป็นไรน่า.. เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำเพิ่ม 2 เท่าเลย" ซึ่งน้อยคนมาก ๆ ที่ได้หยุดไปวันหนึ่งแล้วจะกลับมาต่อเนื่องได้อีก นึกภาพว่าสมองของเรากำลังสร้างสะพานอยู่อย่างขันแข็ง แล้วจู่ ๆ เราไปปิดเครื่องจักรซะอย่างนั้น กว่าจะมาเปิดใหม่ กว่าเครื่องจักรจะอุ่นเครื่องรีบู๊ทตัวเองให้ติดใหม่ บางคนอาจเชื่อมต่อจากเดิมได้ แต่หลายคนก็ทำไม่ได้ หมดไฟไปซะดื้อ ๆ เลยก็มีค่ะเคล็ดลับเพิ่มวินัยเมื่อเราทราบสาเหตุหลักของความไม่ต่อเนื่อง คราวนี้มาลองวิธีแก้ปัญหาให้ตรงจุดกันดู อาจจะดูขวานผ่าซากไปสักนิด หากจะบอกว่าวิธีแก้ก็คือ "ทำให้ต่อเนื่อง" ซะสิ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องคิดให้มันซับซ้อนอะไรมากมายเลยค่ะ ประโยคหลัก ๆ ที่ต้องจำก็คือ"กัดไม่ปล่อย...จนกว่าจะสำเร็จ"แน่นอนว่าแม้จะบอกไปง่าย ๆ ห้วน ๆ แบบนี้ แต่ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถมีวินัยได้อย่างต่อเนื่องจริง ๆ สักที ยิ่งคนที่มีภาวะสมาธิสั้นด้วยแล้ว การจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ฝืนใจติดต่อกันเป็นเวลานาน แทบจะเป็นไปได้ยากจริงมาก ๆ เอาล่ะค่ะ ดารัณมีเคล็อลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้เลือกไปปรับใช้กันได้ตามใจชอบเลย ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกวิธีนะคะ แต่ให้เลือกวิธีที่คิดว่าถูกกับจริตตัวเราเอง และสามารถทำได้โดยไม่ฝืนใจมากเกินไปเคล็ดลับที่ 1 : หากวันไหนหยุดทำ ให้เริ่มนับ 1 ใหม่ โดยไม่มีข้อแม้หมดข้ออ้างทันทีค่ะ สำหรับสายผลัดวันประกันพรุ่ง "ไว้ก่อน พรุ่งนี้แล้วกัน วันนี้ไม่ว่าง" หากอยากจะงดเว้นก็ได้ค่ะ ตามสบายเลย แต่ในวันถัดไปต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ทุกครั้งที่หยุดทำนะคะ แม้ว่าในวันนั้นจะทำต่อเนื่องมาแล้ว 15 วัน ก็ตาม แล้วแบบนี้ จะกล้าหยุดอีกไหมเอ่ย? เพื่อน ๆ อาจให้คนใกล้ตัวที่ไว้ใจ และมีความสนิทใจ เป็นคนกุมเงื่อนไขนี้ค่ะ ให้เขาเป็นคนบังคับและเราต้องทำตามกฎ หรืออาจเพิ่มความเข้มข้นของกฎ เช่น หยุด 1 ครั้ง เริ่มนับใหม่ และต้องจ่ายค่าปรับให้คนคุมกฎ ถ้าอยากเพิ่มความจริงจังก็เพิ่มความเข้มข้นของกฎเข้าไปค่ะ ไม่เช่นนั้นแล้ว เงื่อนไขลอย ๆ ไม่มีการบังคับแบบนี้ ก็คงไม่ทำให้จริงจังขึ้นมาได้อีกอยู่ดีเคล็ดลับที่ 2 : ให้รางวัลตัวเองในการทำสำเร็จแต่ละครั้งคนเราอาจตอบสนองกับเงื่อนไขได้ดีแตกต่างกันไปค่ะ บางคนจะกระตือรือร้นกับการกลัวถูกลงโทษ ซึ่งเหมาะกับการใช้เคล็ดลับที่ 1 แต่สำหรับบางคนแล้ว จะกระตือรือร้นกับการได้รางวัลมากกว่าค่ะ หากเพื่อน ๆ เป็นสายนี้ ให้ลองปรับจากเคล็ดลับที่ 1 เปลี่ยนจากบทลงโทษเป็นรางวัลแทนค่ะ เช่น อยากเขียนหนังสือให้จบเล่ม ก็อาจให้รางวัลตัวเองโดยการช้อปปิ้ง 1 ครั้ง หลังการเขียนจบ 1 บท หรือเขียนครบ 3 วัน ต่อเนื่องกัน ปรับเงื่อนไขตาม Life style ของเราเลยค่ะ อะไรก็ได้ที่รู้สึกว่าดึงดูดใจเราที่สุด อะไรที่เรายอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะได้มันมา และเช่นกันค่ะ ลองหาคนที่สนิทใจเป็นผู้คุมกฎให้เราด้วยอีกทางหนึ่งCr : Unsplashเคล็ดลับที่ 3 : จินตนาการเป้าหมายที่ต้องการบรรลุและนึกถึงมันในทุก ๆ วันให้ขึ้นใจการที่เรามีอาการเปื่อนเฉื่อยแฉะ หากไม่นับว่าเป็นอาการทางกายภาพ เช่นอาจเป็นโรคต่อมหมวกไตล้า หรือภาวะซึมเศร้า ก็อาจเป็นเพราะเป้าหมายที่เราต้องการจะบรรลุนั้น ไม่ดึงดูดใจมากพอ หรือไม่วิกฤตมากพอ เพื่อน ๆ ลองนึกภาพตามนะคะ สมมติว่า มีโจรมาจับพ่อแม่หรือคนที่เรารักไป และบอกเราว่าหากไม่ทำตามเงื่อนไข จะฆ่าคนที่เรารักทิ้งซะ โดยเงื่อนไขคือ ให้เราอุ้มหมูหนัก 20 กิโลกรัม และยืนอยู่แบบนั้นวันละ 2 ชั่วโมง ทุกวัน เป็นเวลา 21 วัน เพื่อน ๆ คิดว่าจะทำได้ไหมคะ? เชื่อว่าหลายคนต้องตอบว่าทำได้ แม้จะหนักแค่ไหนก็จะยอมทำทุกอย่าง นั่นเพราะหากทำไม่สำเร็จ อาจเกิดเรื่องไม่ดีกับคนที่เรารัก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เรายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้"มนุษย์เราจะทำบางสิ่งได้ดีเสมอ...เมื่อมีความจำเป็นมากพอในการลงมือทำ"เช่นกันค่ะ การที่เราไม่มีวินัยมากพอกับสิ่งที่เราตั้งใจจะทำให้สำเร็จใน 21 วัน อาจเพราะเป้าหมายที่ตั้งใจไม่น่าดึงดูดใจมากพอหรือเปล่า? เราจึงไม่เห็นความสำคัญของมัน บางคนอาจจะอยากหุ่นดี แต่หุ่นปัจจุบันก็ไม่ได้แย่ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าควรต้องออกกำลังกายจริงจัง บางคนอาจจะอยากหารายได้เสริม แต่ที่มีอยู่ก็พอกินและไม่ได้มีภาระหนี้สินอะไร ความจำเป็นเร่งด่วนมันจึงไม่มากพอที่จะทำให้เราลงทุนลงแรงไปกับการเปลี่ยนนิสัย หรือทำอะไรบางอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นั่นเองค่ะไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปทำให้ตัวเองอยู่ในภาวะวิกฤตหรอกนะคะ แต่เราอาจต้องเปลี่ยนแนวคิดในการมองเป้าหมาย เพิ่มความสำคัญให้มัน และจดจ่ออยู่กับเป้าหมายนั้นในทุกขณะที่นึกขึ้นได้ โดยอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายในแง่ลบหรอกนะคะ อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้า ว่าบางคนอาจมีความดึงดูดกับเป้าหมายในแง่บวกมากกว่า หากใครเป็นสายนี้ ก็อาจตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งของที่ต้องการมาก ๆ จินตนาการถึงการมีสิ่งนั้น ว่าจะมีความสุขแค่ไหนหากได้มาครอบครองเพื่อน ๆ อาจลองอ่านเทคนิคการตั้งเป้าหมายให้เสร็จได้ที่บทความ "ตั้งเป้าหมายให้สำเร็จด้วยกระดานอนาคต (Dream Board)"Cr : Unsplashไม่จริงหรอกนะคะที่บอกกันว่าคนเราเปลี่ยนไม่ได้ คนเราเปลี่ยนได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า "อยากเปลี่ยนแค่ไหน" การกระทำเล็ก ๆ ที่ทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องทุกวัน สามารถก่อเกิดเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ได้ หากเรามุ่งมั่นมากพอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเปลี่ยนตัวเองให้เป็น The Best Version นะคะ :) เรื่อง : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)ขอบคุณภาพประกอบปกจาก Canva