ไวรัสคอมพิวเตอร์ (COMPUTER VIRUS) ยังมีเหลืออยู่ไหม!!! ช่วงเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับบ้าน เพราะไม่อาจหาญไปสู้หน้า วัดพละกำลังกับ ‘COVID-19’ ไวรัสตัวเป็นๆ ที่สามารถปลิดชีพใครก็ตามที่อ่อนแอกว่ามัน ทำให้ผมพอจะมีเวลาว่างทำความสะอาดห้องเก็บของ แล้วบังเอิญไปเจอกับนิตยสารคอมพิวเตอร์เก่าๆ เล่มหนึ่ง ดูจากปี พ.ศ. ก็ราวๆ 20 กว่าปีที่แล้ว หน้าปกยังเป็นรูปคอมพิวเตอร์ที่แปะสติ๊กเกอร์ ‘Pentium II’ อยู่เลย พร้อมกับโปรยหน้าปกเรื่องเด่นประจำเล่ม “ไวรัสคอมพิวเตอร์ ระบาดหนัก ระวังมันอาจอยู่ใน Drive A : ของคุณ!! ” ถ้าไปถามเด็กรุ่นใหม่ๆ ว่าเคยเห็น ‘Drive A :’ ในเครื่องคอมพ์กันไหม เชื่อว่าหลายคนคงทำหน้างงๆ เพราะทุกครั้งที่คลิกเข้าไปใน Computer (หรือ My Computer) ก็จะเจอแต่ Drive C:, D:, E:, F:,... (เครดิตภาพ : https://commons.wikimedia.org/) ถ้าเป็นยุคนี้ นิตยสารเล่มดังกล่าวก็คงจะขายดีทีเดียว เพราะมีเนื้อหาเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันพอดี แต่ถ้าพูดถึงไวรัสคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ ที่เริ่มออกอาละวาด แพร่ระบาดระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง โดยใช้พาหะเป็นแผ่นดิสก์เก็ตบางๆ เป็นตัวแพร่กระจายตัวมันเองไปยังเครื่องต่างๆ ผมกล้าพูดเลยว่า ไวรัสคอมพิวเตอร์ยุคนี้ดู ชิลล์ ชิลล์ กว่ามาก ในเรื่องของความยากในการเขียนโค้ด หรือโปรแกรมตัวไวรัสขึ้นมาให้ทำงานตามคำสั่ง ที่ผมพูดแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่าไวรัสยุคแรกๆ จะมีความสามารถเหนือกว่าไวรัสปัจจุบัน เพราะจริงๆ แล้วคุณสามารถใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่แจกฟรีตามเว็บไซต์ สั่งสแกนหาไวรัสเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วเจอทุกตัว และสามารถสั่งลบมันทิ้งได้แบบหมดจดไม่มีเหลือ สิ่งที่ผมกำลังจะพูดก็คือ ไวรัสคอมพิวเตอร์ยุคนี้มีทูลหรือเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาตัวไวรัสขึ้นมาได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ส่วนไวรัสยุคเก่าๆ ผู้เขียนโค้ดไวรัสจำเป็นต้องใช้ภาษาเครื่อง หรืออาจรวมถึงภาษาคอมพิวเตอร์ระดับต่ำ เขียนโค้ดหลายพันบรรทัดเพื่อสร้างไวรัสขึ้นมาตัวหนึ่ง ซึ่งอาจจะแค่ทำงานง่ายๆ อย่างแสดงภาพวาบหวามของแม่สาวผมบลอนยุค 60 ขึ้นมาที่หน้าจอของคุณค้างเอาไว้แบบนั้นทั้งวัน! ไวรัสคอมพิวเตอร์ยุคแรกทำอะไรกับเครื่องคอมพิวเตอร์บ้าง เมื่อพูดถึงการมุ่งเป้าโจมตีของไวรัสคอมพิวเตอร์เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว บอกเลยว่ามันน่ากลัวเอาเรื่องจริงๆ ลองนึกถึงภาพคนติดไวรัส COVID-19 ตอนนี้ดูสิ วัคซีน (แอนตี้ไวรัส) ก็ยังไม่มี (ขณะที่เขียนบทความนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน) ต้องใช้วิธีรักษาไปตามอาการด้วยหยูกยาเท่าที่หาได้ในปัจจุบัน ไวรัสคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ ก็เช่นกัน เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณพลาดท่าเสียที รับเชื้อไวรัสมาจากที่อื่น ซึ่งอาจจะเป็นแผ่นเกมที่คุณไปก็อบปี้มาจากเพื่อนด้วยดิสก์เก็ตหลายสิบแผ่น มันต้องมีสักแผ่นที่มีไวรัสคอมพิวเตอร์แฝงตัวอยู่ เมื่อไวรัสเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ มันจะแอบซ่อนอยู่ในหน่วยความจำของเครื่องก่อน หลังจากนั้นมันจะแอบสำเนาตัวเองไปยังฮาร์ดดิสก์ รวมถึงหน่วยความจำสำรองอย่างดิสก์เก็ต ถ้าสมัยนี้ก็คงจะเป็นแฟลชไดรฟ์ เมมโมรีการ์ดต่างๆ ที่คุณเสียบคาเอาไว้กับเครื่อง ไวรัสจะทำสำเนาหรือก๊อบปี้ตัวเองไปยังหน่วยความจำภายนอกเหล่านี้ทั้งหมด (เครดิตภาพ : https://www.bandicam.com/) สิ่งที่ไวรัสคอมพิวเตอร์รุ่นคุณอา (เกือบๆ จะลุง) ทำกับเครื่องก็มักจะหนีไม่พ้น ทำให้เครื่องคอมพ์ที่ติดเชื้อทำงานช้าลง ด้วยการโหลดงานโง่ๆ ให้ซีพียูทำซ้ำๆ จนหมดแรง เครื่องค้างไปเลย ถ้าไปเจอกับไวรัสที่เล่นงานหนักหน่อย ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของคุณก็อาจจะถูกลบทิ้งหมด ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการไปจนถึงไฟล์ลับๆ ของคุณที่แอบเก็บไว้ใน ‘Hidden Folder’ เชื่อไหมครับว่าตอนนั้น ฮาร์ดดิสก์ที่โดนไวรัสลบข้อมูลทิ้ง จะไม่ค่อยมีใครกล้ากลับเอามาใช้งานอีก เพราะไม่มั่นใจว่าไวรัสยังอยู่ในนั้นหรือไม่ ถ้าหนักหน่อยระบบปฏิบัติการในเครื่องก็โดนลบไม่เหลือซากเลย จนบางคนต้องหิ้วฮาร์ดดิสก์ไปขายมือสองถูกๆ ที่พันทิป เพราะคิดไปเองว่ามันพังแล้ว หนังสือคอมพ์ก็มีน้อย ครั้นจะไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่แพร่หลาย บางพื้นที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตเลยด้วยซ้ำ (ช่างคอมพ์พันทิปสมัยนั้นก็เก่งใช่ย่อย ใช้แผ่นดิสก์กู้ชีพ สั่งฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ระดับต่ำ ‘Low Level Format’ หรือ ‘Factory Format’ เพียงเท่านี้ก็ได้ฮาร์ดดิสก์กลับคืนมาเหมือนของใหม่ สบายไปเลย!) ถ้าจะถามว่าไวรัสพวกนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงได้แพร่ระบาดติดต่อกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ สาเหตุเดียวที่อาจฟังดูงี่เง่าสักหน่อย ก็คงจะมาจากบรรดาโปรแกรมเมอร์เห่อ…ในยุคนั้นมักจะชอบลองวิชา ด้วยการเขียนไวรัสโง่ๆ แต่ไม่โง่ขึ้นมาแข่งกัน ใครสามารถทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วโลกติดไวรัสของตัวเองได้มากที่สุด จนพาดข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือเป็นสกู๊ปข่าวรอบค่ำได้ก็จะได้รับคำสรรเสริญและการยอมรับนั่นเอง แต่ไม่ต้องกลัวกันแล้วนะครับ เพราะไวรัสรุ่นคุณอาพวกนี้ แค่ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้กันอยู่ตอนนี้ ก็เพียงพอ (เอาอยู่) ที่จะเตะตัดขาไวรัสพวกนี้ให้ล้มแบบไม่ทันตั้งตัว และไม่ให้มันมีที่ยืนในสังคอมออนไลน์ได้เลย ยังไม่ต้องถึงมือโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเลยด้วยซ้ำ! ไวรัสคอมพิวเตอร์ยุคใหม่เปลี่ยนเป้าหมายโจมตี หลังจากมีการเพิ่มคำศัพท์ในแวดวงไวรัสคอมพิวเตอร์ อย่าง แอดแวร์, มัลแวร์, สปายแวร์, ฟิชชิ่ง, ฟาร์มมิ่ง มนต์ขลังของไวรัสคอมพิวเตอร์ก็ดูจะจืดจางลงไป ไม่ค่อยจะมีใครหวาดกลัวไวรัสคอมพิวเตอร์อีกต่อไป ส่วนหนึ่งก็เพราะมีระบบปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจได้ แม้ไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเพิ่มเติม ก็ยังสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้แบบลัลลาสบายใจ เมื่อผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่รู้สึกถึงภัยคุกคาม ผู้เขียนไวรัส จึงต้องเปลี่ยนแผน แทนที่จะโจมตีระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ ก็มุ่งเป้าไปที่ข้อมูลต่างๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างที่เป็นข้อมูลส่วนตัวของคุณ หรือบันทึกการใช้งานอินเทอร์เน็ตว่าเราเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ไหนบ้าง ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะแจ็คพ๊อตไปเจอกับผู้ใช้ที่ขี้ลืม ซึ่งมักจะเขียนทุกอย่างไว้ใน Notepad แล้วยังตั้งชื่อไฟล์ว่า ‘ข้อมูลส่วนตัวของฉัน.txt’ (เคยทำแบบนี้กันบ้างไหมครับ) แล้วสิ่งที่อยู่ในไฟล์นี้ก็อาจจะมีตั้งแต่ รหัสผ่านอีเมล์, รหัสผ่าน Log-In เข้าใช้งานเครื่อง, รหัสใช้ Wi-Fi ของออฟฟิศ เลขบัตรประชาชน และอีกสารพัดข้อมูลที่คุณมักจะจำมันไม่ได้ แต่ก็มักจะถูกใช้งานบ่อยๆ ถ้าหากไวรัสถูกโปรแกรมให้มาเก็บข้อมูลในเครื่อง แค่เจอไฟล์นี้ไฟล์เดียวก็เสร็จภาระกิจกลับบ้านได้เลย (เครดิตภาพ : https://www.pandasecurity.com/) นอกจากนี้ ยังมีไวรัสจำพวกหน้าไหว้หลังหลอก คือ หน้าตาเหมือนจะไม่ใช่ตัวร้าย แต่เบื้องหลังนั้นร้ายลึก ไวรัสพวกนี้มักจะมาในรูปแบบที่หลอกล่อให้คุณหลงไหล ติดตามมันไปแบบไม่รู้ตัว ตัวอย่าง เช่น ใครที่ชอบท่องเว็บที่มีภาพและวิดีโอชวนฝันอยู่บ่อยๆ ทันทีที่คุณคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์เหล่านี้ นอกจากจะเจอหน้าต่างป๊อปอัพโฆษณาเด้งขึ้นมาหลอกให้คุณกดปิด (แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการเปิดอย่างอื่นให้ทำงานขึ้นมา) คุณอาจจะไปเจอกับหน้าต่างวิดีโอที่กำลังไลฟ์สดแบบหลอกๆ ด้วยภาพ Gif Animation แบบสมจริง เมื่อคุณใจอ่อนหลงคลิกตามเสียงเรียกของสาวๆ จากวิดีโอจอมปลอม คุณก็ได้สั่งการให้ติดตั้งโปรแกรมบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์ลงในเครื่องด้วยตนเองเรียบร้อย โดยที่ระบบปฏิบัติการในเครื่องยังไม่ทันได้ถามสารทุกข์สุขดิบเลยสักคำว่า แน่ใจนะพ่อคุณ! แล้วไอ้ตัวโปรแกรมที่แอบแฝงอยู่ในเครื่องมันทำอะไรได้บ้าง บอกเลยว่ามีหลายอย่างที่มันสามารถทำได้ งานหลักๆ ก็หนีไม่พ้นขุดคุ้ยดูข้อมูลในเครื่องของคุณทั้งหมด แล้วแยกแยะข้อมูลที่ต้องการส่งกลับไปยังต้นทางที่ปล่อยไวรัสมา ถ้าเจ๋งไปกว่านั้นอีกขั้น มันก็จะแอบส่งตัวเองติดตามการออนไลน์ของคุณไปตลอด เข้าเว็บไหน ไปทำอะไรมา แชตกับใคร โทรหาใคร วิดีโอคอลไปไหน (พอๆ กับภรรยาที่แอบติดตามดูสามีตลอดเวลา!) ยิ่งถ้ามันรู้ว่าวันไหนคุณชอปปิ้งออนไลน์ ไวรัสพวกนี้มันจะยิ่งชอบ เพราะมันเตรียมดักรอข้อมูลของคุณอย่างใจจดใจจ่อ (เครดิตภาพ : https://biovolttech.com/) สรุปแบบสั้นๆ แต่ขออธิบายยาวๆ สำหรับไวรัสรุ่นคุณอา คุณลุง คุณไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกตกใจกลัวมันอีกต่อไป ถ้าเครื่องคอมพ์ของคุณไม่ได้รันด้วยระบบปฏิบัตการ Dos 6.22 ที่ต้องเสียบแผ่นดิสก์ก่อนใช้งาน หรือพวก Windows ที่ต่ำกว่ารุ่น XP ลงไป หากคุณไม่ได้ใช้ก็ไม่ต้องกังวล ส่วนไวรัสรุ่นใหม่ๆ จริงๆ ก็ไม่น่าจะเรียกว่าไวรัส เพราะมันเป็นแค่โปรแกรมหัวขโมย ที่แอบแฝงตัวมาอยู่ในเครื่องของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต (หรืออาจจะอนุญาตแบบลืมตัว) ถ้าหากเราหมั่นอัพเดตระบบปฏิบัติ รวมถึงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอยู่บ่อยๆ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรารูจักกับไวรัสใหม่ๆ มากขึ้น ก็จะช่วยลดโอกาสที่จะถูกไวรัสโจมตีลงได้ นอกจากนี้ ในฐานะของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดจากการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บไฟล์สำคัญ หรือพิมพ์ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญเก็บเอาไว้ในเครื่อง สำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบ่อยๆ หากคุณไม่ได้อยู่หน้าเครื่องเป็นเวลานานๆ แนะนำให้ตัดสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วย ไม่ควรเปิดหน้าจอทำงานของคุณทิ้งเอาไว้เป็นเวลานานๆ เพียงเท่านี้คอมพิวเตอร์ของคุณก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดีในการต่อกรกับไวรัสคอมพิวเตอร์!