เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา หลังจากทำงานอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งปี ทำให้ตัวเองรู้สึกอยากหาแรงบันดาลใจจากการเดินทาง โดยส่วนตัวผมชอบเดินทางไปหลวงพระบาง เพราะบรรยากาศและธรรมชาติที่รู้สึกสวยงาม บวกกับผู้คนที่น่ารักและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ การไปหลวงพระบางโดยการล่องเรือช้าไปตามแม่นํ้าโขงน่าจะสร้างความตื่นเต้นและได้รู้สึกถึงการผจญภัย เพราะมันคาดเดาอะไรไม่ได้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง คิดอยู่อย่างเดียวว่ามันจะต้องสนุกอย่างแน่นอน การเดินทางไปหลวงพระบางทางเรือไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากซักเท่าไหร่ เพราะต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน การเดินทางของผมในครั้งนี้ตั้งใจจะให้มันเป็นไปอย่างเรื่อย ๆ แบบชิลล์ ๆ สัมผัสกับธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คน และตั้งใจจะพูดคุยกับคนแปลกหน้าเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติให้ได้มากที่สุด หลังจากนี้จะเป็นการเล่าเรื่องในรูปแบบบันทึกเรื่องราวไดอารี่ หวังว่าบทความนี้จะพาทุก ๆ ท่านเที่ยวผจญไปพร้อม ๆ กันนะครับ ถ้าพร้อมแล้ว...ลุย!!! สิ่งที่ผมจะได้พบเจอหลังจากนี้ มันจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ผมได้เรียนรู้กับมันในอีกรูปแบบหนึ่ง จะสนุกและเต็มที่กับการเดินทางครับ ... Day 1 ... เริ่มต้นการเดินทางจาก กทม. เดินทางไปยังเชียงรายโดยรถทัวร์นครชัยแอร์ชั้น First Class เดินทางในช่วงกลางคืน ถึงเชียงรายช่วงเช้าของวันถัดไป หาข้อมูลก่อนเดินทางไว้ว่าถ้าจะไปหลวงพระบางทางเรือ จะต้องข้ามไปขึ้นเรือที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว แต่ผมจะเดินทางไปเชียงของและพักที่นั่น 1 คืน ช่วงเช้าค่อยนั่งรถข้ามด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังฝั่ง สปป.ลาวอีกที ... Day 2 ... หลังจากพักที่เชียงของ 1 คืน เช้านี้พร้อมที่จะออกเดินทางข้ามฝั่งไปขึ้นเรือช้าที่ฝั่ง สปป.ลาว โดยที่เราต้องมารอขึ้นรถบัส ที่หน้าด่านสะพานมิตรภาพ หลังจากทำเรื่องผ่านแดนฝั่งไทยเสร็จ จ่ายเงินซื้อตั๋วรถบัสประมาณ 50 บาท และข้ามสะพานไปยังฝั่ง สปป.ลาว บรรยากาศระหว่างข้ามสะพานมิตรภาพเพื่อข้ามไปฝั่ง สปป.ลาว มีหมอกลอยเหนือลำนํ้าโขง หลังจากข้ามถึงฝั่ง สปป.ลาว และทำเรื่องผ่านแดนเสร็จ สิ่งที่คิดไว้ตอนแรกคือจะเหมารถเพื่อให้ไปส่งยังท่าเรือที่จะไปหลวงพระบาง แต่ความโชคดีคือมีพี่ผู้ชายคนลาว เป็น Agency ทัวร์กำลังหาลูกค้า ผมได้บอกไปว่าจะนั่งเรือไปหลวงพระบาง พี่ผู้ชายเลยเสนอราคาตั๋วพร้อมกับค่ารถไปส่งถึงท่าเรือเป็นราคาทั้งหมด 900 บาท ถ้าผมเหมารถไปส่งที่ท่าเรือราคาคงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ จึงตอบตกลงไป อย่างน้อย ๆ ก็มั่นใจได้ว่าพี่เขาสามารถจองตั๋วเดินทางในเช้านี้ได้เลย จะได้ไม่ต้องไปลุ้นข้างหน้าให้เสียเวลา นั่งรอลูกทัวร์จนครบ พวกเราทั้งหมดก็ออกเดินทางไปที่ท่าเรือ เรือไปหลวงพระบางจะออกจากฝั่งห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เรือออก 11.00 น. เรือมีวันละ 1 เที่ยว และต้องเตรียมอาหารไปเอง บนเรือมีขายแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเครื่องดื่มนิดหน่อย บรรยากาศในช่วงปลายเดือ นธันวาคมถือว่าค่อนข้างดีมาก ๆ อากาศหนาวเย็น ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่มาช่วยเติมเต็มให้การเดินทางนั้นดีขึ้นไปอีก นิยามการเดินทางในครั้งนี้ของผมคือ "ไม่มีใครคือคนแปลกหน้า พวกเราทุกคนคือเพื่อนกัน" กิจกรรมบนเรือมีหลายอย่างให้ทำ แล้วแต่ว่าใครจะทำอะไร บางคนชอบถ่ายรูป, บางคนสานสัมพันธ์เพื่อรู้จักกับคนอื่น ๆ, บางคนนั่งฟังเพลงและมองวิวเข้างทาง, บางคนอ่านหนังสือหรือเขียนไดอารี่, บางคนจับกลุ่มดื่มเบียร์และพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์, บางคนจับกลุ่มเล่นไพ่, บางคนรักความสันโดษก็หาที่นั่งท้ายเรือเพื่อพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ บรรยากาศบนเรือเป็นไปอย่างเรื่อย ๆ จะจอดแวะรับผู้คนข้างทางบ้างในบางครั้ง หากใครเบื่อที่จะนั่งนาน ๆ ก็สามารถไปนอนสบาย ๆ ท้ายเรือได้ แต่เสียงเครื่องยนต์จะดังหน่อย บนเรือมีห้องนํ้าประมาณ 2 ห้อง มีสายฉีดล้างชำระ ห้องนํ้าสะอาดหายห่วง ผู้โดยสารบนเรือเป็นคนลาวประมาณ 10% ที่เหลือเป็นคนต่างชาติทั้งหมด อากาศที่หนาวเย็นทำให้การนั่งเรือรู้สึกเพลินมาก ๆ ผู้คนต่างทักทายและทำความรู้จักกันมากขึ้น เพราะพวกเราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดระยะเวลา 2 วัน 1 คืน เรือจะจอดแวะพักค้างคืนที่เมืองปากแบง ซึ่งเป็นเมืองกึ่งกลางระหว่างห้วยทราย แขวงบ่อแก้วกับเมืองหลวงพระบางนั่นเอง เมืองปากแบงเป็นเมืองเล็ก ๆ เงียบสงบ มี Guest House หลายที่ในราคาไม่แพง เฉลี่ยราคาประมาณ 300 - 500 บาท เรือจะเดินทางถึงปากแบงประมาณ 17.00 น. ตกกลางคืนเดินหาร้านอาหารทานพร้อมกับจิบเบียร์ลาวเพลิน ๆ แยกย้ายกันพักผ่อน เจอกันอีกทีในวันพรุ่งนี้เช้า ... Day 3 ... เก็บกระเป๋าสัมภาระและแวะซื้อเสบียงอาหารไว้สำหรับทานมื้อเที่ยง ทุกคนจะต้องมา่รอขึ้นเรือ 08.00 น. เรือจะออกจากท่าประมาณ 09.00 น. วันนี้ด้วยความที่อยากจะได้ที่นั่งดี ๆ ผมจึงรีบทานข้าวและไปรอที่ท่าเรือเช้าหน่อย ประมาณ 07.30 น. แต่เมื่อถึงท่าเรือพบว่าคนต่างชาติมานั่งรอในเรือแล้วแทบจะเกือบครบทุกคน น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ในวันนี้บรรยากาศและเรื่องราวบนเรือก็ยังคงเป็นอะไรที่สุดยอดเหมือนเดิม เพลินมาก เพลินจนรู้สึกว่าหมดเบียร์ลาวไปหลายขวดเลย ถ้ามากับกลุ่มเพื่อนสนิทคงจะเป็นอะไรที่สนุกมากแน่ ๆ และเรือก็ได้มาถึงเมืองหลวงพระบางประมาณ 16.30 น. รู้สึกดีใจที่พวกเรามาถึง แต่ผมกลับรู้สึกใจหายมากกว่าเพราะพวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปเที่ยวตามแพลนของแต่ละคน แต่ผมเชื่อว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเรือ จะกลายเป็นความทรงจำดี ๆ ให้พวกเราได้คิดถึงมัน ... Day 4 - 5 ... ในสองวันนี้ที่หลวงพระบาง ผมก็ได้ไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตาดกวางสี, พระธาตุพูสี, ปั่นจักรยานเล่นรอบเมือง, ตลาดกลางคืน ผมมาหลวงพระบางในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 บางสถานที่เคยไปแล้วแต่ก็ยังไปอีก เหตุผลสั้น ๆ เลยคือชอบ ชอบบรรยากาศหนาว ๆ ของที่นี่ ชอบในความเป็นเมืองมรดกโลกที่ยังคงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี อีกอย่างที่ชอบมาก ๆ เลยน่าจะเป็นสาวลาว แฮร่!! ผมล้อเล่นครับ ถ้าสถานที่ไหนที่เราไปแล้วมีความสุข เราก็คงอยากจะไปอีกเรื่อย ๆ ปกติมาลาวทุกครั้งก็ชอบซื้อข้าวจี่ปาเต๊ะทาน แต่ครั้งนี้ไปเจอร้านธรรมดา ๆ ของชาวบ้าน ตกชิ้นละประมาณ 20 บาท คนขายอัธยาศัยดี พูดคุยอย่างเป็นกันเอง พอรู้ว่าผมเป็นคนไทยมาเที่ยวที่หลวงพระบาง คนขายก็พยายามแนะนำที่เที่ยวต่าง ๆ ให้เป็นอย่างดี "สะบายดี" คือประโยคแรกที่ถูกทักทายเป็นภาษาลาว เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกเราได้คุยอย่างเป็นกันเอง คนเรามีทั้งดีและไม่ดีอยู่ที่ว่าเราจะได้เจอคนแบบไหน หลังจากซื้อข้าวจี่ปาเต๊ะเสร็จก็ขอตัวกลับที่พัก จบประโยคด้วยคำว่า "โชคดีเด้อ" อาจจะเป็นประโยคพูดธรรมดา ๆ ของคนที่นี่ แต่สำหรับผมมันคือคำที่มีความหมายดี ฟังแล้วรู้สึกมีกำลังใจ ... Day 6 ... ตื่นเช้าเก็บกระเป๋าสัมภาระ วันนี้มีแพลนเดินทางต่อไปยัง "หนองเขียว" ดูจากรีวิวต่าง ๆ บอกว่าไม่ไกลจากหลวงพระบางเท่าไหร่ ระยะทางร้อยกิโลเมตรกว่า ๆ แต่การเดินทางใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมงเลยทีเดียว เป็นเพราะสภาพถนนที่ไม่ค่อยดี สภาพทางขรุขระและถนนมีแค่สองเลน สิ่งที่ไม่อยากเจอในการเดินทางที่ลาวก็คือ ไม่อยากนั่งเบาะแถวหลัง นอกจากจะเหยียดขาไม่สะดวกแล้วยังเสี่ยงต่อการเมารถอีก แต่วันนี้เหมือนโชคเข้าข้างได้นั่งเบาะหลังสมใจ ฮ่า ๆ และมีเรื่องตื่นเต้นของการเดินทางวันนี้คือ มีคุณยายชาวเขาคนหนึ่งจะเดินทางไปเมืองทางผ่านได้มานั่งข้าง ๆ ผม ด้วยความที่คนขับไม่ได้เปิดแอร์ เปิดแค่กระจกข้างหน้าเพื่อให้ลมเข้า แต่ข้างหลังบอกเลยว่าร้อนมาก อากาศระบายไม่ถึง คุณยายแกก็เกิดอาการเมารถ แกพยายามจะงัดกระจกหน้าต่างเพื่ออาเจียน แต่งัดไม่ได้ แกเลยหยิบหมวกที่แกใส่มารองอ้วกไว้ ผมได้บอกคนขับรถให้จอด และคุณยายก็ได้ลงรถไปอ้วกข้างล่าง ผมรู้สึกสงสารแกมากจึงได้ให้ยาดมแกไป แต่แกคงไม่เคยใช้ได้แต่กำไว้ในมือแน่น ผมเลยช่วยเปิดฝาออกเพื่อให้แกได้สูดดม แต่ทันใดนั้น! แกเอาเข้าปากและสูบเข้าปากอย่างเต็มแรง(อารมณ์เหมือนคนสูบบุหรี่ไฟฟ้า) โอ้ววววว จังหว่ะนั้นคุณยายคงมีแสบลำคอกันบ้างแหละ สุดท้ายผมก็เป็นคนจับยาดมและเอาให้แกดม ขอบอกเลยว่ายาดมคือสิ่งที่ช่วยชีวิตคุณยายและตัวผมได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มียาดมแล้วเกิดคุณยายอ้วกใส่ตัวผมจะเป็นยังไงบ้างนะ ? คงเป็นความทรงจำที่ดีมากแน่ ๆ สุดท้ายก็ได้ช่วยดูแลคุณยาย เอานํ้าดื่มให้ ช่วยพัดให้ จนคุณยายได้ลงรถไป ขอบคุณความทรงจำดี ๆ กับคุณยาย ที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็มีความสุขทุกครั้งเลยครับ เดินทางถึงหนองเขียวประมาณบ่าย ๆ เหมือนว่าคนที่นี่จะใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่าย อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและความเงียบสงบ ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีแสงสีเสียงให้ตื่นเต้น แต่ผมกลับชอบที่มันเป็นแบบนี้ ... Day 7 ... มาถึงหนองเขียวทั้งทีจะไม่ขึ้นไปดูวิวบนผาแดงก็เหมือนมาไม่ถึง แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มมากกว่า เช้านี้หนาวมาก ๆ อุณหภูมิน่าจะอยู่ประมาณ 12 องศา ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 05.30 น. เพราะอยากจะเดินขึ้นไปดูวิวพระอาทิตย์ยามเช้าบนผาแดง เส้นทางเดินขึ้นผาแดงไม่ยาก เดินง่าย ๆ แต่ก็เดินสูงพอประมาณ ทำให้เหนื่อยหอบได้เหมือนกันนะ พอขึ้นมาถึงบนยอดผาแดงก็รู้สึกหายเหนื่อยเพราะวิวบรรยากาศสวยงดงามมาก ผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่เห็นแล้วรู้สึกดีมาก ๆ คุ้มกับความเหนื่อยที่เดินขึ้นมา พอช่วงสาย ๆ ก็ลงจากผาแดงมาเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับหลวงพระบาง ช่วงที่รอเวลากลับ ผมก็เกิดลังเลใจ คิดว่าทำไมตัวเองไม่ไปเมืองงอยต่อ การไปเมืองงอย จะต้องนั่งเรือเข้าไปเท่านั้น ช่วงที่นั่งรอรถก็ได้เปิดหาข้อมูลรีวิวต่าง ๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมืองงอยสวยและควรจะค้างที่นี่ซักคืน ผมเดินไปเพื่อขอเลื่อนตั๋วเพื่อเดินทางกลับในวันถัดไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว เสียดายแต่ไม่เสียใจ ไว้มีโอกาสผมจะกลับมาเยือน หนองเขียวและเมืองงอยอีกครั้ง กลับถึงหลวงพระบางช่วงบ่าย ๆ เก็บสัมภาระเข้าที่พักเดิมที่เคยพัก ผมพักที่ Guest House แถวซอยร้านกาแฟโจมา บริเวณแถวนี้ที่พักเยอะมาก เดินเลือกได้จนกว่าจะถูกใจ ราคาเริ่มต้น 500 ไปจนถึงหลักพัน หลังจากนั้นก็ได้ไปนั่งเล่นที่ร้าน "Utopia" บรรยากาศร้านสไตล์ชิลล์ ๆ ริมแม่นํ้า ลมพัดเย็น ๆ นั่งฟังเพลงและนั่งอ่านหนังสือเพลินมาก รู้ตัวอีกทีก็นั่งจนมืดคํ่าเลย จากนั้นก็ไปหาของกินในตลาดมืด แหล่งที่รวมของกินไว้มากมาย ถ้ามีโอกาสได้มาหลวงพระบางต้องลองทานร้านขายอาหารบุฟเฟต์ ที่ทางร้านจะให้จานเรามาแล้วก็ตักได้แค่รอบเดียวเยอะเท่าไหร่ก็ได้ เอาให้อิ่มเลย จากนั้นทางร้านจะนำไปผัดรวมให้เราอีกที ราคาประมาณ 40 บาท เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวแนว Backpacker มากเลยทีเดียว ... Day 8 ... วันนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า เพื่อนั่งรถไปยัง "พูคูน" เมืองกึ่งกลางระหว่างหลวงพระบางและวังเวียง จากหลวงพระบางที่จะมาวังเวียงมี 2 เส้นทาง ถ้าเรามาพูคูนจะใช้เส้นทางสายเก่า ซึ่งขอบอกเลยว่าถนนขรุขระและเส้นทางไม่ดีมาก ๆ แต่หากได้มาเส้นทางนี้ขอบอกเลยว่า วิวของถนนที่ไต่ไปเส้นทางของภูเขาสวยงดงามมาก ๆ สำหรับผม "พูคูน" เป็นแค่เมืองทางผ่านไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ หลังจากที่ได้ท่องเที่ยวในลาวมาหลายครั้ง และเกือบทุกครั้งจะต้องนั่งรถผ่านเมืองพูคูน จนเหมือนมีบางอย่างดึงดูดเพื่อให้ผมแวะพักและทำความรู้จักเมืองนี้แบบจริงจัง เดินทางมาถึงพูคูนประมาณเที่ยง แต่ด้วยงบใกล้หมดและได้หาข้อมูลของสถานที่ ๆ เราจะไปพักซึ่งคิดว่าคงอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เลยเดินไปเรื่อย ๆ ตามแผนที่ ซึ่งขอบอกว่าเดินผิดทางและเดินไกลมาก เดินผ่านหมู่บ้านก็ได้แวะสอบถามเส้นทาง ชาวบ้านแนะนำว่าให้เดินลัดขึ้นเขาไป และเดินตามเส้นทางบนเขาไปเรื่อย ๆ อารมณ์ตอนนั้นเหมือนมาเดิน Trekking เลยแหละ แต่ผมกลับชอบนะ หลงทางบ้างก็ดี อย่างน้อยก็ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองใหม่ ๆ ได้คุยกับชาวบ้าน ได้ทำอะไรที่มันนอกเหนือจากสิ่งที่คิดไว้ ผมว่ามันสนุกกว่าการเดินทางที่มัวแต่โฟกัสจะไปให้ถึงปลายทางอย่างเดียว พอมาถึงที่พักที่ชื่อ "ศาลาคำพูคูน" ที่นี่ต้องกางเต็นท์นอนอย่างเดียว ความรู้สึกตอนนั้นอยากจะนอน Guest House มากกว่า เพราะสภาพอากาศหนาวเย็นมาก ๆ แต่ก็เลือกไม่ได้ จะให้เดินกลับไปในเมืองก็คงต้องเดินไกลมาก ๆ ผมเลยตัดสินใจนอนเต็นท์ที่นี่ อย่างน้อย ๆ ก็ได้มองเห็นวิวภูเขาที่ชื่อว่า "ภูเจ้า" ชัดเจนดี และภูเจ้าคือสิ่งที่ดึงดูดผมทุกครั้งเวลานั่งรถผ่านเส้นทางนี้ เหมือนมีบางสิ่งชวนให้ผมลองแวะพักค้างคืน เมืองนี้อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยว แต่ถ้าชอบวิวของภูเขาที่ดูสวยงามแปลกตาและบรรยากาศที่เงียบสงบ อาจะเป็นเหตุผลที่ควรแวะพักเพื่อทำความรู้จักกับสถานที่นี้ บางทีคุณอาจจะเห็นความสวยงามมากกว่าที่ผมเห็นก็ได้ ... Day 9 ... เช้านี้อากาศหนาวเย็นอย่างมากเลยทีเดียว เช็คอุณหภูมิดูแล้วอยู่ที่เลขหลักเดียว คงไม่มีใครคิดสั้นอาบนํ้าในเช้านี้หรอกนะ ฮ่า ๆ หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ วันนี้พร้อมเดินทางต่อไปที่เมือง "วังเวียง" สำหรับเมืองนี้ผมรู้สึกเฉย ๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ถ้ามากับกลุ่มเพื่อนหลาย ๆ คนก็คิดว่าน่าสนุกดีเหมือนกัน เพราะมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำเยอะดี ในคํ่าคืนนี้ผมได้ไปนั่งดื่มเบา ๆ ที่ "ซากุระบาร์" ถ้าพูดถึงที่แห่งนี้คุณคงนึกถึง เครื่องดื่มฟรีหรือการเต้นที่สนุกสุดเหวี่ยงของนักท่องเที่ยวแต่ละคน แต่มันมีบางโซนสำหรับนั่งชิลล์ ๆ เปิดเพลงเบา ๆ ผมชอบอะไรแบบนี้มากกว่า ได้นั่งล้อมวงผิงไฟ นั่งดื่มชิลล์ ๆ พูดคุยกัน เวลามาเที่ยวแบบนี้ผมชอบแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางกับคนต่างชาติมากๆเลย แอบอิจฉาไม่ได้เลยที่บางคนเดินทางเที่ยวกันทีเป็นเดือน ๆ หรือบางคนมีประสบการณ์เยอะก็จะมาเล่าเรื่องราวสนุก ๆ ให้ฟัง จนเกิดแรงบันดาลใจที่อยากเดินทางในครั้งต่อ ๆ ไป หากผมจะเริ่มเล่าเรื่องให้พวกเขาได้ฟัง ก็คงจะเล่าเหมือนกับที่ผมได้เล่าให้พวกคุณฟังมาตั้งแต่ต้น Are you interested in travelling on the slow boat ? ... Day 10 ... เดินทางจาก วังเวียง-อุดรธานี-กทม. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้หมดไปประมาณหมื่นกว่าบาท แต่ก็คุ้มค่ากับเงินที่ใช้จ่ายไปมาก ๆ การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกดี ๆ มาก เดินทางไปอย่างช้า ๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทำอะไรนอกเหนือจากแผนที่วางไว้ก็ดีเหมือนกัน หวังว่ารูปถ่ายและเรื่องเล่าของผมจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มเอมไปกับการเดินทางในครั้งนี้นะครับ ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน :) ภาพประกอบทั้งหมด โดยผู้เขียน : Ti on My Way