เหนื่อยเหลือเกิน หยุดคิดไม่ได้เลย ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้ แปลว่า คุณกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิด คิดวนลูปจนจิตใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ความเครียดอาจมีสาเหตุมาจากความวิตกกังวลเรื่องในอดีต หรือความกลัวในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจ หากสะสมเอาไว้เรื่อยๆก็ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อ ภาวะซึมเศร้า ได้อีกด้วย ด้วยเคยประสบปัญหานี้มาก่อน จึงอยากจะแบ่งปันวิธีในการช่วยบรรเทาความเครียดสะสม วิตกกังวล หยุดคิดไม่ได้ ที่ทำแล้วรู้สึกดีขึ้นจริง โดยเป็นวิธีเบื้องต้นในการจัดการกับอารมณ์หรือร่างกายให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นความเครียดให้เกิดขึ้นมาอีก 1. อาบน้ำการอาบน้ำช่วยบรรเทาความเครียดได้ เพราะเมื่อร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว จะส่งผลให้สมองปลอดโปร่ง และขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปได้ ความเครียดมักเกิดจากร่างกายและจิตใจที่อ่อนล้า ทำให้ความคิดไม่ดีวกเข้ามาในหัวได้ง่าย การอาบน้ำเป็นวิธีง่ายๆที่ทำให้ร่างกายหายเหนื่อย และรีเซ็ทอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติเคล็ดลับการปรับตัว : สำหรับใครที่ขี้เกียจอาบน้ำ ต้องฝืนตัวเองสักนิด โดยใช้เวลาอาบน้ำไม่ต้องนานมาก และระหว่างอาบน้ำให้พยายามผ่อนคลายไปกับบรรยากาศ ปล่อยใจสบายๆ จะทำให้สมองโล่ง ถ้ายังเผลอคิดอยู่ ให้พยายามดึงสติกลับมา 2 . จดสาเหตุของความเครียดและวิธีแก้ปัญหา ยิ่งเก็บความคิดไว้ในใจ ก็ยิ่งทำให้อึดอัดและเครียด ดังนั้นถ้ายังคิดอยู่ซ้ำๆและกังวลใจเรื่องไหน เขียนระบายมันออกมา ไม่ว่าจะบนกระดาษ หรือพิมพ์จดใส่โทรศัพท์ไว้ และทางที่ดีควรคิดวิธีแก้ไขปัญหา เพื่อออกจากความทุกข์นั้นให้เร็วที่สุดเคล็ดลับการปรับตัว : ในเวลาที่คิดมาก หรือทุกข์ใจให้นำโน๊ตที่จดไว้มาอ่าน จะยิ่งดีหากในโน๊ตมีข้อความให้กำลังใจตัวเอง จะช่วยบรรเทาความทุกข์ให้เบาบางลงได้ 3 . นอนพักผ่อนการนอนเป็นวิธีรีเซ็ททั้งความคิด และความเหนื่อยล้าสะสมที่ดีที่สุด บางทีการปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน ปล่อยให้สมองได้หยุดคิดบ้าง ก็ช่วยผ่อนคลายจิตใจที่เหนื่อยล้าจากความคิดที่ฟุ้งซ่านมาทั้งวัน แต่การนอนก็ถือเป็นดาบสองคม เพราะหากนอนมากเกินไปอาจทำให้ขี้เกียจ ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย ชีวิตประจำวัน และหน้าที่การงานได้เคล็ดลับการปรับตัว : แต่ละวันควรพักผ่อนให้เพียงพอ และจัดสรรเวลานอนอย่างเหมาะสม มีวินัยในการนอนที่ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป เช่น ถ้าหากรู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างวัน สามารถงีบหลับ 15-30 นาทีได้ แต่หากรู้สึกว่านอนมากไปแล้ว ควรลุกขึ้นมาหาอะไรทำเช่น เล่นเกมให้หายง่วง 4 . ร้องไห้การที่คุณร้องไห้ไม่ใช่ว่าคุณขี้แง หรือเก็บอารมณ์ไม่เก่ง ตรงกันข้าม ถ้ามันถึงขีดสุดจริงๆ การปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกผ่านการร้องไห้ จะช่วยลดความเครียด และปรับสมดุลอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ เหมือนกับการที่เราเจ็บจนร้องไห้ออกมา หรือเศร้าจนต้องร้องไห้ออกมา ดังนั้น การร้องไห้เป็นการระบายความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง เคล็ดลับการปรับตัว : หลังจากร้องไห้อาจมีอาการอ่อนเพลีย หรือตาบวม ให้ประคบเย็นบริเวณใต้ตาและเปลือกตา จะช่วยให้ตาหายบวมเร็วขึ้น 5 . ฟังพอดแคสต์ให้กำลังใจ หรือสร้างแรงบันดาลใจบางทีปัญหาที่คุณเผชิญ ก็หนักหนาสาหัสจนทำให้คุณขาดกำลังใจ มองไม่เห็นทางออกในชีวิต สิ่งที่ช่วยปลอบโยนคุณได้คือการรับฟังใครสักคน เขาอาจให้แง่มุมใหม่ๆในชีวิต ให้ความฝัน และกำลังใจในการก้าวต่อไปแก่คุณได้ เคล็ดลับการปรับตัว : เปิดรับพลังบวกเยอะๆและเปลี่ยนมันให้เป็นพลังใจอันเข้มแข็งในการก้าวต่อไปในชีวิต และอย่าลืมลองหาอะไรใหม่ๆทำ ค้นหาสิ่งที่ชอบและเป็นตัวเราเอง สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข 6 . ฟังดนตรีแอมเบียนต์ (ambient) หรือเพลงความหมายดีๆดนตรีแอมเบียนต์ คือจังหวะเพลงต่อเนื่องหรือเสียงบรรยากาศรอบข้าง ไม่ว่าจะเสียงน้ำไหล เสียงลมพัด ซึ่งทำให้ร่างกายผ่อนคลายและจิตใจสงบ เหมาะสำหรับเปิดฟังเวลาเครียดหรือเวลาที่นอนไม่หลับ โดยการเปิดคลอไปเบาๆ จะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น นอกจากนี้การฟังเพลงความหมายดีๆ ตรงกับสถานการณ์ที่เราเป็นอยู่ ทำให้รู้สึกดีขึ้นเสมือนได้มีคนปลอบใจและมีคนเข้าใจเคล็ดลับการปรับตัว : สำหรับใครที่ไม่ค่อยได้ฟังเพลง ดนตรีแอมเบียนต์ถือว่าเป็นพื้นฐานที่ดี เพราะไม่มีเนื้อร้องอะไร มีแต่ทำนองคลอไปกับเสียงบรรยากาศรอบข้าง สำหรับเพลงที่ทีความหมายอาจต้องใช้เวลาในการค้นหาให้ตรงกับสถานการณ์ สามารถค้นหาโดยพิมพ์แบบภาพรวม เช่น เพลย์ลิสต์สำหรับคลายเครียด เป็นต้น 7 . ออกกำลังกายการออกกำลังกายทำให้สมองปลอดโปร่ง สดชื่น และทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ที่สำคัญควรเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสมกับความเครียดของคุณ ถ้าระดับความเครียดน้อย ให้เลือกออกกำลังกายเบาๆ พอให้เหงื่อออก หากคุณรู้สึกเครียดมากและคิดวนลูปซ้ำๆ การออกแรงนิดหน่อยอาจไม่เพียงพอ เพราะยังมีเวลาที่สมองคิดวนได้อยู่ ดังนั้น ควรเลือกการออกกำลังกายที่หนักขึ้นและออกแรงต่อเนื่องจะได้ผลดีกว่า อาจเป็นการวิ่งหรือแอโรบิคแบบเบเบ้ก็ได้เคล็ดลับการปรับตัว : สำหรับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือขี้เกียจออก อาจรู้สึกไม่มีแรงจูงใจ ไม่อยากขยับตัว ให้ค่อยๆเริ่มจากการออกกำลังกายง่ายๆ อย่างการใช้อุปกรณ์ใกล้ตัวก่อน เช่น ขวดน้ำใส่น้ำประมาณเกือบครึ่งใช้ยกแทนดัมเบล หรือการกระโดดเชือกอยู่กับที่ เพิ่มอรรถรถด้วยการเปิดเพลงสนุกๆคลอไปด้วย แล้วจึงขยับเพิ่มสเต็ปเป็นการออกกำลังกายผ่านคลิปวิดีโอสอนตามยูทูป หรือถ้าได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกพร้อมกับการออกกำลังกาย เช่น ปั่นจักรยาน หรือวิ่งเหยาะๆ จะยิ่งดีเลยค่ะ 8 . จงรักตัวเองเมื่อเกิดความเครียดที่มากเกินไป จะทำให้คุณรู้สึกไม่มีความสุข จิตใจแบกรับแต่ความทุกข์ ซึ่งจะส่งผลทั้งต่อสุขภาพและชีวิตประจำวัน สิ่งที่คุณควรหันกลับมามองที่สุด ก็คือ ตัวคุณเอง ตั้งคำถามในวันที่คุณรู้สึกเศร้าใจ ว่าคุณควรจะมีความสุขกว่านี้ไหม? แน่นอนว่าคุณควรจะมีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้ ดังนั้น เคารพและรักตัวเองให้มากขึ้น เห็นคุณค่าและจงเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้เคล็ดลับในการปรับตัว : ปรับความคิดและทัศนคติที่มีต่อตัวเอง ยอมรับและเชื่อมั่นว่าเรานี่แหละจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ และอย่ากดดันตัวเองจนทำให้ไม่มีความสุข ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการที่ไม่ต้องเสียใจที่หลัง 9 . พูดคุยปรึกษาคนใกล้ชิดคุณสามารถขอคำปรึกษาหรือระบายความอัดอั้นตันใจกับคนใกล้ชิด โดยเลือกคนที่พร้อมรับฟังคุณจริงๆ แม้ว่าเขาจะช่วยคุณได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยการมีใครสักคนที่พร้อมรับฟังและพร้อมจะเข้าใจในปัญหาของคุณ จะช่วยให้ความทุกข์ในใจลดลงไปได้เคล็ดลับการปรับตัว : บางเรื่องเราก็ไม่กล้าพอที่จะบอกคนอื่น เพราะคิดไปก่อนว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายใจไปด้วย หรือเขาคงไม่เข้าใจปัญหาที่เราเผชิญอยู่ แต่อยากให้ลองรวบรวมความกล้าที่จะบอกไปค่ะ 10 . กินของหวานๆเวลาเครียดๆ การกินของหวานจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น ส่วนใหญ่เมื่อคนเราเครียดมากๆ นิสัยการกินก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วแต่คน บางคนกินเยอะขึ้น บางคนก็กินอะไรไม่ลงจนทำให้น้ำหนักลด ในกรณีที่คุณไม่อยากอาหาร ก็สามารถพกพวกลูกอม หรือช็อกโกแลตติดกระเป๋าไว้กินได้เลยเคล็บลับการปรับตัว : กินของหวานปริมาณพอเหมาะ และไม่ปล่อยให้ท้องหิว 11 . ฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบันกำหนดลมหายใจเข้าและออกช้าๆ หรือนั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ ระลึกว่าอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้นควรให้จิตอยู่กับปัจจุบันขณะ จะทำให้ปล่อยวางและหายเครียดได้เคล็ดลับการปรับตัว : พยายามหาพื้นที่ที่มีบรรยากาศสงบไม่วุ่นวายในการฝึกสมาธิ เวลาหายใจต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆให้เต็มปอด ไม่ควรหายใจสั้นๆ 12. ฟังธรรมะ ธรรมะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นสัจธรรมของชีวิต เมื่อยึดถือและปฏิบัติจะช่วยให้จิตใจสงบและปล่อยวางจากความทุกข์ได้ ความทุกข์ที่เกิดจากความคิดนั้น เหมือนการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งทำให้จิตเกิดทุกข์และทำให้ไม่มีความสุข ดังนั้นธรรมะล้วนสอนให้จิตรู้จักปล่อยวาง เมื่อใดปล่อยวางได้ เมื่อนั้นจิตก็จะเป็นสุข เคล็ดลับการปรับตัว : เมื่อฟังธรรมะแล้วควรคิดตามไปด้วยเพื่อให้เห็นถึงคำสอนที่เป็นแก่นแท้ และพึงตระหนักเสมอว่าธรรมะให้อะไรแก่ผู้ฟังบ้าง แล้วจึงนำไปปรับใช้ในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการหมั่นสังเกตตัวเองอยู่เสมอ ว่าความเครียดที่เกิดขึ้นมีผลต่อจิตใจและชีวิตประจำวันของเราในระดับไหน เพื่อที่จะได้หาวิธีในการผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้น การที่จิตใจแบกรับความทุกข์มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียได้ในระยะยาว การรับมือกับความเครียดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราเชื่อมั่นว่าทุกคนจะก้าวข้ามปัญหาและอุปสรรคไปได้ เหมือนสำนวนที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ เครดิตภาพปก จาก storyset / freepik, ภาพ1 จาก freepik, ภาพ2 จาก rawpixel.com / freepik, ภาพ3 จาก drobotdean / freepik, ภาพ4 จาก cookie_studio / freepik / ภาพ5 จาก benzoix / freepik, ภาพ6 จาก karlyukav / freepik, ภาพ7 จาก pressfoto / freepik, ภาพ8 จาก wayhomestudio / freepik, ภาพ9 จาก yanalya / freepik, ภาพ10 จาก kroshka_nastya / freepik, ภาพ11 จาก benzoix / freepik, ภาพ12 จาก wiroj sidhisoradej / freepikเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !