หลายๆคนคงคุ้นเคยกับการฉีดวัคซีนประจำปีกันดี วัคซีนที่ว่านี่ไม่ใช่วัคซีนสำหรับเด็กนะคะ แต่เป็นวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งมีทั้งแบบสามสายพันธุ์ สี่สายพันธ์ุ และมันคืออะไร ฉีดไปทำไมกัน รวมทั้งความเชื่อผิดๆที่เราติดนิสัยกันมานาน จะมาเฉลยกันในบทความนี้ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าผู้เขียนเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนชนิดนี้มาโดยตลอด แทบจะเรียกว่าต่อต้านด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าเราเป็นวัยทำงาน (สามสิบกว่าๆนี่จะใช้วัยรุ่นก็คงไม่ได้แล้วสินะ) เราแข็งแรงและรักษาสุขภาพอย่างดี แถมไม่ได้มีลูก มีเด็กๆต้องดูแลซะหน่อยจะฉีดให้เปลืองไปทำไมแต่เชื่อไหมคะว่าสุดท้ายความคิดและอคตินี้ก็ต้องจบไป เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่าเป็นหวัดทุกปีน่ะสิ ป่วยแบบทรุดไปทำงานไม่ไหว แล้วก็มีน้ำมูกงอมแงมติดต่อไปอีกหลายวันกว่าจะหาย แรกๆก็รู้สึกว่าคงเป็นเรื่องปกติ คนเราก็ต้องป่วยกันมั่งล่ะ แต่ทีนี้มันไม่ใช่น่ะสิ หลังๆมาแค่เพื่อนที่ทำงานเป็นหวัด ไปเยี่ยมญาติที่นอนโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งไปเที่ยวเฉยๆ ก็กลับมาป่วยซะงั้น สุดท้ายคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นเลยแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซะ ด้วยเหตุผลที่ว่า ทุกครั้งที่เราเป็นหวัด อยู่ใกล้ชิดคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งอายุมากแล้ว แต่ทำไมทั้งสองท่านไม่เคยป่วยตามเลยนะ แถมแข็งแรงขนาดดูแลหลานที่ป่วยได้โดยไม่ติดหวัดด้วย มาถึงตรงนี้ก็ชักจะเชื่อแล้วสิ จิ้งจกทักยังต้องฟัง นับประสาอะไรกับพ่อแม่ทักนะ คงต้องลองฉีดพิสูจน์ความจริงดูซักทีวัคซีนที่คุณพ่อคุณแม่ฉีดเป็นประจำทุกปี คือ วัคซีนป้องกันไข้หวัด 4 สายพันธุ์ แต่บางที่ก็อาจจะมีแบบ 3 สายพันธ์ุแล้วแต่คุณหมอจะแนะนำกันไป วัคซีนชนิดนี้ผลิตจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) สายพันธ์ุ A และ B ที่พบว่าก่อให้เกิดโรคหวัดในปีนั้นๆ แต่ไม่ใช่ไวรัสโคโรนาที่ก่อโรคโควิด-19 นะคะ อันนี้ยังรอความหวังในการผลิตกันอยู่ วัคซีนแบบ 3 สายพันธ์ุคือ วัคซีนที่สกัดเชื้อ 3 สายพันธ์ุที่ก่อโรคมาฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เรา ส่วน 4 สายพันธุ์ก็ตามชื่อค่ะ เชื้อเพิ่มมาเป็น 4 สายพันธ์ุในเข็มเดียวจะครอบคลุมเชื้อไวรัสได้มากขึ้น ในปีนี้มีการรณรงค์เร่งให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 63 ของกรมควบคุมโรค โดยประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้ง 7 กลุ่ม สามารถขอรับบริการวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 หรือเข้าไปศึกษาข้อมูลจากเวปไซด์ของกรมควบคุมโรคhttps://ddc.moph.go.thส่วนของครอบครัวผู้เขียนนั้น ไปฉีดที่คลินิกคุณหมอที่รักษาโรคเกี่ยวกับปอดและทางเดินหายใจค่ะ เพราะสะดวก และรวดเร็วกว่า แต่ก็ต้องยอมจ่ายเงินเองนะคะ ราคาของเราประมาณ 5 ร้อยกว่าบาทต่อคนรวมค่าบริการแล้วหลังจากฉีดมาได้ 3 ปี ขอยืนยันด้วยตัวเองเลยว่า ป่วยด้วยโรคหวัดน้อยลงมาก จากปกติก่อนฉีด จะป่วยปีละประมาณ 2-4 ครั้ง แต่พอฉีดแล้วป่วยด้วยโรคหวัดเฉลี่ยปีละครั้ง แถมอาการก็ไม่รุนแรง ไม่ถึงกับต้องลางานนอนพักที่บ้านเหมือนทุกทีด้วย ดังนั้นชวนให้ทุกคนไปฉีดกันนะคะ ส่วนความเชื่อผิดๆจากการฉีดวัคซีนที่กล่าวถึงตอนต้นนั้นก็คือ1. วัคซีนที่ฉีดนั้นไม่ได้ทำให้เราไม่ป่วยหรือไม่เป็นหวัดอีกเลยนะคะ แต่เป็นเพียงตัวช่วยให้เราป่วยน้อยลง หรือแสดงอาการป่วยเบาลงกว่าการไม่ฉีดเท่านั้นเอง2. สำหรับคนที่เคยฉีดแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบปีแล้วค่อยไปฉีดในเดือนเดิมของปีที่แล้วที่เราฉีดนะคะ เช่นเคยฉีด กรกฎาคม 62 ก็จะรอไปฉีดเดือนกรกฎาคม 63 เป็นต้น จากคำอธิบายของคุณหมอที่ฉีดวัคซีนให้ผู้เขียนเราควรจะไปฉีดในช่วงเดือนพฤษภาคมหรือก่อนหน้าเล็กน้อย เพราะเป็นช่วงก่อนหน้าฝนซึ่งเป็นฤดูที่โรคหวัดเริ่มระบาด เราฉีดวัคซีนไปแล้วต้องรอเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันจึงจะขึ้นมาสูงพอที่จะป้องกันโรคหวัดได้ วัคซีนที่ผลิตในแต่ละปีนำเชื้อไวรัสที่ได้จากการสำรวจการก่อโรคในปีก่อนหน้ามาผลิต เพื่อป้องกันโรค โดยปกติเชื้อก็มักจะกลายพันธ์ุเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อยๆทุกปีอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงต้องฉีดก่อนการแพร่ระบาดนั่นเอง3.วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ผลิตจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) ไม่ใช่วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นะ อย่าสับสน เห็นประโยชน์และความเข้าใจที่คาดเคลื่อนไปแล้ว ตอนนี้ถึงจะเริ่มเข้าฤดูฝนแล้ว แต่ก็ยังฉีดวัคซีนได้นะคะ ฉีดช้าดีกว่าไม่ฉีดเลย แต่วัคซีนจะยังเหลือรึเปล่านี่ต้องลองหาดูนะ ขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เครดิตภาพ pixabayภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3