1. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นที่รู้กันดีว่า... รายได้หลักของประเทศไทยเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศมาจากการท่องเที่ยว คิดเป็นเฉลี่ย % ก็ประมาณ 66% และที่เหลือก็มาจากการส่งออก และการขนส่งแรงงานออกนอกประเทศ ทุกวันนี้ เมื่อเราออกจากบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ในตลาดนัดแถวๆบ้าน จะมีแต่รถทัวร์ของบริษัทิท่องเที่ยวมาลงซื้อของ และคนที่ลงมาจากรถก็จะมีแต่คนจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ รัซเซีย เวียดนาม ฝรั่งเศล และอินเดีย แต่ตอนนี้เวลาออกจากบ้าน คนที่เราเจอ กลับมีแต่คนไทยด้วยกัน ในอนาคต อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวอาจมีการแข่งขันกันมากขึ้น เช่น การยอมขาดทุนเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้เข้ามา การลดจำนวนพนักงานในองค์กรและบริษัทิลง ดังนั้นบริษัทิเล็กๆที่อยู่ไม่ได้ หรือคู่ค้ารายย่อยก็ต้องล้มหายจากกับวงการอุตสาหกรรมนี้ ตัวผู้เขียนเองก็ยอมรับว่า เมื่อสองปีที่แล้วเคยคิดจะเอาเงินเก็บไปเปิดบริษัทิที่ลงทะเบียนในนามเอกชนเล็กๆ เพื่อต้อนรับชาวต่างชาติให้เข้ามา เพราะธุรกิจการท่องเที่ยวในตอนนั้น เป็นอะไรที่เฟื่องฟูมาก จนมาหยุดชะงักลงเพราะเหตุการณ์โรคระบาดโคโรนาไวรัส ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่เมื่อไรเพราะงั้น อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวจะไม่เหมือนเดิมแน่ๆ และต้องอาศัยการใช้เวลาเพื่อกลับมาเฟื่องฟู และแม้จะกลับมาได้ ก็คงจะยังซบเซา เพราะมีเหตุการณ์การปิดประเทศ และออกมาตราการมากมายเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดผู้ป่วย ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทำให้แต่ละคนไม่ค่อยกล้าออกจากบ้านกัน จนเกิดชีวิตแบบ New normal ขึ้นมา ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ยากที่จะกลับมาเฟื่องฟูเหมือนเดิมไปอีก หากบริษัทิการท่องเที่ยวไม่ยอมลดต้นทุนจนยอมขาดทุน ก็ต้องเก็บค่าเดินทางในราคาที่แพงกว่าเดิม จนคนชนชั้นกลางหรือชนชั้นล่างเข้าไม่ถึงในราคานี้ ต่อไปไม่แน่ ประเทศของเราอาจจะกลับไปเป็นเหมือนปี 2540 ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งก็เป็นได้ ที่คนมีเงิน ที่จะสามารถท่องเที่ยวได้เท่านั้น2. สินเชื่อธนาคาร เพราะคนตกงานกันเยอะ จากการพึ่งพาระบบอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศมากเกินไป พอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศลดลงหรือหายไป โรงงานอุตสาหกรรมภาคบริการที่อาศัยพึ่งพิงกับระบบการท่องเที่ยวก็ค่อยๆต่างพากันโดนกระทบไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร หรือห้างสรรพสินค้าที่เน้นเปิดขายให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น ห้าง King power ที่เปิดขายสินค้าแบรนด์เนมเพื่อให้คนจีนซื้อเท่านั้น พอผู้ประกอบการายใหญ่เดือดร้อน พนักงานหรือคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ก็เดือดร้อนไปด้วย เกิดการตกงานในประเทศไทยและนอกประเทศเป็นหลักสิบๆล้านคน คนไม่มีงานทำ...และบางคนก็ยังใช้เงินและเก็บเงินแบบเดือนชนเดือนก็ยังไม่มีเก็บ เลยทำให้เกิดการกู้ยืมเงินจากธนาคารมากมาย ตั้งแต่เจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการ ยันพนักงาน เมื่อเกิดการตกงานจำนวนมากและเงินไม่พอใช้ และธนาคารก็มีการออกนโยบายลดและงดเก็บอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ ในระยะเวลากี่ปีๆก็ว่ากันไป...หากคนเอาเงินไปลงทุน และพอลงทุนจนได้กำไรงอกเงยจากสินค้า ก็คงค่อยๆเอาเงินมาใช้หนี้ธนาคารและค่อยๆทยอยจ่ายดอกเบี้ยสินเชื่อธนาคารได้ หากเป็นเหตุการณ์ปกติ แต่เพราะว่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เราไม่มีทางรู้เลยว่าการ work from home จะจบลงเมื่อไร มันเดือดร้อนชนิดที่ว่าร้านอาหารประเทศอังกฤษพากันให้ส่วนลด 50% สำหรับคนที่ออกมากินข้าวนอกบ้านเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้วิกฤติทางการเงินแทบจะเทียบได้กับสมัยเกิดสงครามที่คนฆ่ากันตายหลายสิบล้านคน แค่มาในรูปแบบของโรคระบาด และมันรุนแรงกว่าธนาคารย่อมกังวลว่าคนที่มากู้สินเชื่อจากธนาคารจะไม่มีเงินมาจ่ายคืน และเมื่อไม่มีเงินมาจ่ายคืน ก็ย่อมเกิดหนี้เสียหรือ NPL ซึ่งมันก็คงไม่มีปัญหา ถ้าธนาคารมีเงินสำรองของประเทศไว้หมุนเวียนและอัดฉีดสภาพคล่องมากพอ แต่ถ้าวันหนึ่งกระดาษมันหมดล่ะ ประเทศเราก็คงไม่ต่างจากประเทศเวเนซูเอล่าอีกไม่นาน3. อสังหาริมทรัพย์ ถ้าคุณลองสังเกตดู สถิติประชาชนการเกิดและการตายของประเทศๆหนึ่ง คุณจะรู้ว่า อัตราการเกิดของเด็กแต่ละประเทศ ไม่เท่ากัน และประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุซึ่ง นับเป็นจำนวนเกือบ 30 กว่า% เศษหนึ่งส่วนสามของประชากรทั้งหมดเลย และเด็กที่เกิดมาใหม่ในช่วงปี 2018-2019 ที่ผ่านมาก็มีจำนวนน้อยเอามากๆค่ะ ถ้าเทียบกับจำนวนคนแก่ในประเทศและวงการอสังหาริมทรัพย์ก็ซบเซามาสักพักแล้ว ถ้าเทียบกับปี 2547-2548 ที่การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นช่วงที่เฟื่องฟูและราคาดีมากๆ เป็นนาทีทองสำหรับคนที่เล่นที่ในยุคนั้นเลยค่ะ แต่ในช่วง 3-5 ปีนี้ มันคือช่วงขาลงค่ะ อาจจะซบเซาแต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดเล่นไม่ได้ แต่ถ้ามองไปไกล 10-20 ปีก็อาจจะเป็นช่วงตลาดวายจริงๆค่ะ เพราะคนไม่มีกำลังเงินมากพอที่จะซื้อ และอัตราการเกิดใหม่ของเด็กก็น้อยมากๆด้วย พอเด็กไม่เกิด คนไม่มีเงินซื้อ จำนวนประชากรจะมากกว่าจำนวนที่ดิน และอาจทำให้อสังหาราคาถูกลงมากค่ะถ้าเทียบกับรุ่นพ่อแม่เราในยุคทำงานหาเงินและเราตอนเด็กๆ แต่คงไม่เหมาะกับผู้ขายที่ซื้อมาในราคาแพงๆแล้วยังต้องแจกทอง แจกมอเตอร์ไซค์ หรือแจกแท๊บเล็ต เพื่อขายให้ออก เท่าไรค่ะ เพราะถ้าเทียบกับราคาต้นทุนราคาบ้านที่ซื้อมาคงไม่คุ้ม แต่ก็ดีกว่าขายไม่ออกในช่วงที่ไม่มีคนซื้อค่ะ ขอบคุณรูปภาพจากเว็บ https://www.canva.com/ เครดิต ภาพหน้าปกรูปภาพประกอบที่1 โดย Publicdomainpicture / รูปภาพประกอบที่2 โดย JESHOOTS-com / รูปภาพประกอบที่3 โดย Leni_und_Tom