เคยได้ยินไหมคะว่าความงามของศิลปะทุกแขนงนั้นไม่ได้ถูกกำหนดจากฝีมือของศิลปินเสมอไป หากแต่ขึ้นอยู่กับผู้คนที่ได้รับชมผลงานของศิลปิน เพราะเมื่อศิลปินสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใดก็ตามพวกเขาต้องใช้ความรู้สึกนึกคิดจากประสบการณ์ที่ตนเองเคยพบเจอ และค่อยตีความสิ่งเหล่านั้นออกมาผ่านผลงานให้งดงามตามคุณค่าในแบบที่พวกเขายึดมั่น ซึ่งคุณค่าเหล่านั้นที่มนุษย์เชื่อมั่นในมุมมอง ความคิดที่แตกต่างกัน ความรักก็เช่นกัน ทุกคนบนโลกนี้ไม่ว่าใครก็ตามล้วนมีนิยามของความรักในแบบของตนเองเชื่อซึ่งจะมีเพียงแค่ตัวเราเองเท่านั้นที่สามารถรู้สึก และเข้าใจมันได้อย่างแท้จริง ความรักจึงเป็นเรื่องที่แต่ละคนเข้าใจในความหมายที่ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับเรื่อง “เพศ(Gender)” ที่มันเป็นเพียง “อัตลักษณ์ (Identity)” ที่กำหนดลักษณะทางสรีระเท่านั้นหากไม่เป็นสิ่งที่สามารถกำหนดวิถีชีวิตของคนเราได้แม้แต่นิดเดียวเลย ในทุกวันนี้จะเห็นได้ว่ารสนิยมในการเสพผลงานต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของโลกใบนี้ โดยเฉพาะกับในประเทศไทยที่รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างชายรักชาย หรือที่เราเรียกกันว่า แนว Y กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะเริ่มเห็นได้จากนิยายที่วางขายเริ่มมีนิยายวายเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจะแบบรูปเล่ม , E book หรือ Application จนนำไปสู่ซีรีส์ และภาพยนตร์ ด้วยความนิยมดังกล่าวจึงทำให้ผลงานแนว Y เป็นหนึ่งในอุตสหกรรมสื่อบังเทิงที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศมากเลยทีเดียว เนื่องจากในวันนี้ดิฉันจึงอยากมาพูดคุยมุมมองที่มีต่อผลงานทางด้านสื่อบันเทิงแนว Y ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ณ ปัจจุบันผ่านภาพยนตร์ และซีรีส์ที่เราเคยได้รับชม และประทับใจ จะมีเรื่องใดบ้างนั้นไปรับชมกันเลยค่ะ1. อนธการ The Blue Hour (2015) นับว่าเป็นผลงานเรื่องแรกที่ทำให้เราได้รู้จักกับผู้กำกับหนัง LBGT สายอินดี้คุณ นุชี่ อนุชา บุญยวรรธนะ ซึ่งภาพยนต์ได้ถูกฉายครั้งแรกในซีรีส์ เพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอน ในฉบับที่ตัดให้ไม่เกิดเวลที่กำหนดไว้ในแต่ละตอนของซีรีส์ ก่อนถูกฉายในโรงภาพยนต์ เรื่องราวกล่าวถึง "ตั้ม"(นำแสดงโดย กัน อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์) เด็กหนุ่มไปนัดเจอกับชายลึกลับ “ภูมิ” (นำแสดงโดย โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์) ที่สระว่ายน้ำเพื่อไปมีความสัมพันธ์กัน หลังจากนั้นเริ่มเกิดความรักขึ้นผ่านการเรียนรู้จิตใจที่แสนมืดมนอนธการ และเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดเพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็น เกย์ เราจำความรู้สึกหลังจากที่ดูจบได้ดีไม่ว่าจะในซีรีส์ หรือภาพยนต์ก็ทำให้เรางงไม่แพ้กันเลยจริง ๆ แต่สิ่งทำให้เราประทับใจมากที่สุดคือการดำเนินเนื้อเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าฉากต่อไปมันจะเกิดอะไร สิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อคืออะไรกันแน่ ด้วยเนื้อหาที่เข้าถึงได้ยากจึงทำให้เราต้องกลับดูซ้ำเพื่อเก็บรายละเอียดอีกรอบเพื่อตีความสิ่งที่หนังซ้อนความหมายแฝงเอาไว้ รวมไปถึงการแสดงของนักแสดงที่นำเสนอคาแรคเตอร์ของตัวละครผ่านสายตา และน้ำเสียงที่ส่งผลให้บทของภาพยนต์มีรายละเอียดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นมาโดยที่เราไม่ต้องเล่าเรื่องอะไรมากเราก็สามารถเข้าใจตัวละครได้ไปโดยปริยาย จากมุมมองของเราเรื่องนี้ต้องการจะนำเสนอให้เห็นถึงความมืดมิดภายในจิตใจของตั้มที่มีต่อโลกใบนี้ ที่ฉายให้เห็นถึงการขาดความรักความห่วงใยที่เขาอยากได้รับจากคนในครอบครัว จนกระทั่งเขามาเจอกับภูมิผู้ที่มอบความรู้สึกที่เขาต้องมาตลอด ตั้มจึงคิดหาวิธีการใดก็ตามที่จะได้อยู่กับภูมิแม้ว่าการกระทำเหล่านั้นจะนำมาสู่อาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตก็ตาม 2. มะลิลา The Farewell (2018) ผลงานล่าสุดของคุณ นุชี่ อนุชา เรื่องราวของชายสองคน เชน (นำแสดงโดย เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ ) เจ้าของไร่ดอกมะลิผู้ไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตสักเท่าไรเขานั้นมีความหลังบางอย่างกับ พิช (นำแสดงโดย โอ อนุชิต สพันธุ์พงษ์) นักทำบายศรีผู้มีโรคมะเร็งที่พร้อมจะกัดกินจิตวิญญาณของเขาให้เสียขวัญอยู่เรื่อย ๆ ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนเปรียบเสมือนกับการทำบายศรีศิลปะที่ใช้การร้อยเรียงความงดงามจากธรรมชาติให้กลายเป็นผลงานเชิงวิจิตรศิลป์อันจีรัง มุมองของเราจากความรู้สึกนึกคิดหลังจากดูภาพยนต์เรื่องนี้จบ สิ่งที่เราสัมผัสได้เป็นอย่างแรกคือความสวยงามของมนุษย์เราที่ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไปผ่านทักษะการแสดงของนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ทำให้ดื่มดำไปกับอารมณ์ความรู้สึกลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายเป็นคำพูดได้ แล้วด้วยเนื้อหาของภาพยนตร์ที่ผสานไปกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยส่วนตัวแล้วถึงแม้ว่าเราเองก็ไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้มากมายนั้น แต่สิ่งที่เราสามารถเข้าถึงสิ่งที่ภาพยนต์สะท้อนออกมาคือ เพศเป็นเพียงภาชนะภายนอกที่กำหนดรูปลักษณ์ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มนุษย์เราทุกคนล้วนหลีกหนีความไม่ยั่งยืนของชีวิตไม่พ้นไม่ว่าจะเพศใดก็ตามร่างกายของคนเราทุกคนล้วนต้องสลายกลายเป็นธุลีในสักวันหนึ่ง3. ดิวไปด้วยกันนะ Dew (2019) ผลงานของผู้กำกับ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ใครหลายคนรู้จักในฐานะผู้กำกับหนังรักวัยเรียนเรื่องดังสร้างชื่ออย่าง รักแห่งสยาม ที่นับว่าเป็นหนังรักน้ำดีที่ใครหลาย ๆ คนประทับใจ ซึ่งเรื่องนี้ ถูกดัดแปลงมาจาก Bungee Jumping of Their Own (2001) ภาพยนต์เกาหลีชื่อดังที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ต้องห้ามจากสองยุคสมัยที่มีอิทธิพลมาจากบริบททางสังคมเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญของเนื้อเรื่อง โดยเนื้อเรื่องเกิดขึ้นในช่วงยุค 90s ณ เมืองที่คับแคบนามว่า “ปางน้อย” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของ ดิว ( นำแสดงโดย โอม ภวัต จิตต์สว่างดี) และ ภพ ( นำแสดงโดย นนท์ ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์) พวกเขาทั้งสองมีความทรงจำร่วมกันไว้ที่เมืองแห่งนี้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางสังคมในยุคสมัยนั้นที่การรักเพศเดียวกันถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติจากบริบททั่วไป และมักถูกตีตราว่าเป็นผู้มีอาการป่วยทางจิต จนกลายเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง จนเวลาได้ผ่านล้วนเลยไป ภพ ในวัยกลางคน (นำแสดงโดย เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ ) ได้กลับมาทำงานเป็นครูที่เมืองปางน้อยเนื่องจากความล้มเหลวในธุรกิจส่วนตัวของเขาเอง เขาจึงได้พบกับนักเรียนหญิงคนหนึ่งนั้นก็คือ หลิว (นำแสดงโดย ปั๋น ดริสา การพจน์) ที่ทำให้เขานึกถึงดิวคนในความทรงจำที่เขาไม่เคยลืม สำหรับมุมมองความรู้สึกนึกคิดที่เรามีต่อภาพยนต์เรื่องนี้หลังจากที่ได้รับชมไปจนถึงตอนนี้คือเนื้อหาของภาพยนต์ถูกนำเสนอออกมาให้เรารู้สึกถึงความประชดประชันต่อโชคชะตาที่ผู้คนในสังคมต่างเข้ามามีส่วนตัดสินความรัก ความสัมพันธ์ของคนสองคนอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด ความเชื่อของผู้คนส่วนมากก็ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนคนในสังคมเสมอ ท้ั้งๆที่ "ความรัก" เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกันได้กับใครก็ได้โดยที่ค่านิยมทางสังคมไม่มีสิทธิที่จะมาตัดสินความสัมพันธ์ของใครก็ตามให้เป็นไปตามความเป็นจริงในแบบที่พวกเขากำหนด ฉะนั้นเรื่องของความรักไม่ว่าจะเป็นใคร เพศอะไรก็ตามก็เป็นดังภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่คุณเป็นทั้งคนเขียนบท เป็นคนกำกับมันด้วยตัวของคุณเอง เพราะคนเราเลือกได้ เลือกที่จะเชื่อ เลือกที่รับรู้ เเละเลือกที่เข้าใจในมุมมองของเราเองเท่านั้น แม้ว่าภาพยนต์ที่เราเลือกมานำเสนอผ่านมุมมองความรักของชายรักชายจะแลดูเป็นความสัมพันธ์ที่ผู้คนไม่ค่อยยอมรับสักเท่าไร แต่ในทุกวันนี้ความรักของชายรักชายได้ถูกนำเสนอผ่านสื่อบันเทิงต่าง ๆ เยอะมากขึ้นมาแต่ก่อนจนเป็นที่นิยมของผู้คนยุคนี้ไปซะแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าความรักระหว่างชายรักชายก็เป็นความรักที่เกิดขึ้นได้เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปคนหนึ่งโดยที่เพศไม่ได้มีผลแต่อย่างใด ภาพปก : ผู้เขียนบทความเขียน hydrangea.lap ขอขอบพระคุณภาพประกอบ Pic 1 : อนธการ / Pic 2 : มะลิลา / Pic 3 : ดิวไปด้วยกันนะ / Pic 4 : ดิวไปด้วยกันนะ