"We are at the dawn of a new erain commercial space exploration."- Elon Muskเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน กับเหตุการณ์ครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา การร่วมมือกันระหว่างองค์การอวกาศแห่งชาติ หรือ NASA กับบริษัทเอกชนผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศที่แทบไม่มีใครไม่รู้จักในนาทีนี้อย่าง SpaceX ในการส่งนักบินอวกาศขึ้นสู่วงโคจร เพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) ที่ลอยอยู่ในภาวะสูญญากาศในวงโคจรของโลก โดยสื่อหลายเจ้าได้มีการถ่ายทอดสดการปล่อยจรวดของ SpaceX ให้ชมกันทั่วโลกแบบ Real-time เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ให้ผู้ชมได้ลุ้นไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก สะท้อนถึงความสนใจในเรื่องราวด้านอวกาศของผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจในเรื่องราวอันลึกลับน่าหลงใหลของห้วงอวกาศ แต่ไม่ได้อยากศึกษาทางวิชาการให้ปวดหัวขนาดนั้น เรามาปลดปล่อยความชอบไปกับการดูหนังกันดีกว่าค่ะ บทความนี้ขอแนะนำหนังแนว Sci-fi ที่มีแบล็คกราวด์ของเนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของอวกาศ พร้อมเนื้อเรื่องเข้มข้นและโปรดัคชั่นคุณภาพจัดเต็มมา ที่มีฉายใน Netflix มาให้เลือกชมกันค่ะ นอกจากความสนุกเต็มอิ่มแล้ว ยังได้ความรู้เชิงเทคนิค รวมไปถึงศัพท์เทคนิคด้านอวกาศที่แฝงอยู่ในแต่ละฉากมากพอสมควรเลย เป็นการเรียนรู้ไปในตัวแบบไม่น่าเบื่อเลยค่ะ ไปดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้าง!Gravity Gravity หรือชื่อไทยว่า "มฤตยูแรงโน้มถ่วง" เคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเมื่อครั้งเปิดตัวเมื่อปี 2013 เป็นเรื่องแรก ๆ ที่เข้าฉายในโรงภาพยนต์ IMAX 3 มิติ แน่นอนว่างานภาพจัดเต็มสุด ๆ ใครที่ชื่นชอบความงดงามของอวกาศ ได้เต็มอิ่มกับเรื่องนี้แน่นอน ตัวละครในเรื่องมีเพียงนักบินอวกาศสองคนคือ Ryan Stone (รับบทโดย Sandra Bullock) และ Matt Kowalski (รับบทโดย George Clooney) แค่ชื่อนักแสดงก็การันตีคุณภาพแล้วล่ะค่ะ เรื่องราวของนักบินอวกาศสองคนที่กำลังปฏิบัติภารกิจซ่อมกล้อง hubble กลางอวกาศ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เนื่องจากมีวัตถุอวกาศบางชนิดลอยเข้าปะทะอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ Dr.Stone นักบินอวกาศหญิงหลุดลอยไปจากพื้นที่ของยานที่กำลังปฏิบัติภารกิจ ลอยเคว้งอยู่ท่ามกวางอวกาศอันกว้างใหญ่...เพียงคนเดียว!ตัวหนังไม่ได้มีความซับซ้อนในเนื้อเรื่อง มีการเล่าเรื่องอย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่เป็นจุดขายของเรื่องนี้ คือความรู้สึกร่วมของผู้ชมกับตัวเอกของเรื่องอย่าง Dr.Stone ความรู้สึกเคว้างคว้าง สิ้นหวัง แต่ก็ยังเหลือแรงฮึดให้สู้ หลายฉากของเรื่องถูกถ่ายในรูปแบบ Long take ให้ความรู้สึกสมจริงยิ่งขึ้น สิ่งที่แตกต่างจากหนัง Sci-fi อวกาศหลายเรื่องเลยก็คือ เราจะไม่ค่อยได้ฟัง Soundtrack ของหนังมากนัก เพราะหนังใช้ความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเป็นระยะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการสร้างความอึดอัดให้กับผู้ชม เสมือนว่าตัวเราเองเป็น Dr.Stone ที่กำลังลอยเคว้งอยู่กลางอวกาศในสภาพไร้น้ำหนักเสียเอง!สำหรับใครที่ไม่เน้นแฟนตาซีมาก แต่ชอบความสมจริง มีอิงดราม่าหน่อย ๆ ต้องรักเรื่องนี้แน่นอนค่ะ แค่ได้ชมภาพอวกาศสวย ๆ เป็นแบล็คกราวด์ทั้งเรื่องก็นับว่าคุ้มแล้วจริง ๆ กับเทคนิคการถ่ายภาพขั้นเทพที่ให้ความรู้สึกเสมือนเรากำลังลอยอยู่ในอวกาศ เมื่อตัวละครในเรื่องถูกเหวี่ยง เราก็แอบรู้สึกโซเซตามไปด้วย อาจจะมีแอบเวียนหัวนิด ๆ แต่ก็นับว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ที่ดีค่ะ ฮ่า ๆอยากไปลอยบนอวกาศหรือยังคะ? งั้นเราไปอวกาศกันเลย ที่นี่ The Martianอีกหนึ่งผลงาน Masterpiece ระดับขึ้นหิ้งของนักแสดงมากความสามารถอย่าง Matt Demon เรื่องราวการเอาชีวิตรอดของ Mark Watney นักบินอวกาศที่รอดตายจากพายุหิมะบนดาวอังคารระหว่างออกสำรวจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่รอดตาย เพราะเมื่อฟื้นคืนสติกลับมาได้ Watney พบว่าตัวเองถูกทิ้งไว้บนดาวอังคารเพียงลำพัง เพราะทีมสำรวจเข้าใจว่าเขาเสียชีวิตแล้ว จึงได้ยกเลิกภารกิจและเดินทางกลับทันที! Watney จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด บนดาวอังคารที่มีทรัพยากรจำกัด กับระบบการสื่อสารที่ถูกพายุเล่นงานเดี้ยงไปแล้ว และหากสามารถติดต่อกลับไปยัง NASA ได้ การเดินทางมารับเขากลับโลก ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี เลยทีเดียว!The Martian สร้างจากนิยายขายดีเรื่องหนึ่งในชื่อเดียวกัน แต่งโดยวิศวกรรมซอฟต์แวร์ผู้หลงใหลคลั่งไคล้ในฟิสิกส์และอวกาศ ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเนื้อเรื่องของหนังช่วยเปิดจินตนาการให้ผู้ชมได้มากทีเดียว กับคำถามที่นักวิทยาศาสตร์ต่างก็เฝ้าหาคำตอบกันมานานว่า "มนุษย์จะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังคารได้ไหม?" แม้จะเป็นเพียงเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่ข้อมูลที่นำมาใช้ก็อ้างอิงมาจากหลักการทางวิทยาศาสตร์จริง ๆ ไม่แน่ว่า วันหนึ่งมนูายชาติอาจมีโอกาสไปทดลองจริง ๆ บนดาวอังคารก็ได้เมื่อตัดสินใจที่จะมีชีวิตรอด Watney จึงต้องกลายมาเป็นมนุษย์ดาวอังคารเต็มตัว ด้วยความรู้ทางชีววิทยาที่เขาชำนาญ ได้ช่วยให้เขาสามารถผลิตอาหารบนดาวอังคารได้ แต่ถ้าทุกอย่างมันง่ายไปก็คงจะไม่สนุกใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่าอุปสรรคมาเต็ม ทำเอาผู้ชมลุ้นไปด้วยทั้งเรื่อง ต้องชื่นชมการแสดงระดับเทพของ Matt Damon จริง ๆ เขาสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกสิ้นหวังไปด้วย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกฮึดสู้ไปด้วยได้จริง ๆ ได้ทั้งความรู้ที่สอดแทรกแบบผู้ชมไม่รู้ตัว และอารมณ์ขันที่อยู่ตลอดทั้งเรื่อง จึงเป็นเรื่องที่อยากแนะนำมาก ๆ สำหรับคนที่กำลังท้อ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะค่ะหากพร้อมจะเป็นชาวดาวอังคารไปด้วยกัน คลิก ที่นี่ เลยค่ะ2001 : A Space Odysseyแม้จะเป็นหนังเก่าที่สร้างตั้งแต่ปี 1968 แต่เรื่องนี้ได้คะแนนสูงมากทั้งจาก IMDB และ Rotten tomatoes เป็นอีกหนึ่งเรื่องในตำนานและยังคงได้รับการกล่าวถึงในหลายแง่มุม เรื่องราวของหนังที่บอกเล่าถึงการกำเนิดโลกใบนี้ เล่นกับทฤษฎีวิวัฒนาการ ปริศนาของจักรวาล และทำนายถึงโลกอนาคตในปี 2001 และอาจเรียกได้ว่า เรื่องนี้เป็นต้นแบบของหนังอวกาศในยุคต่อ ๆ มาเลยก็ว่าได้ เพราะเจ้า AI ในยานอวกาศ ปรากฎในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก หากเราลองจินตนาการว่าเราคือผู้ชมในยุคนั้น คงรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความแฟนตาซีและจินตนาการอันล้นเหลือ ผสมผสานกับปรัชญาและการไขปริศนาของเอกภพนี้ได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว2001 : A Space Odyssey เป็นเรื่องราวของทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการสำรวจอวกาศเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของโลกมนุษย์ จึงได้ส่งนักบินอวกาศ Dr. Dave Bowman เดินทางไปนำหินชนิดหนึ่งที่มีอยู่บนดวงจันทร์กลับมายังโลก ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ได้นำ Dr. Bowman ไปพบกับเรื่องราวบางอย่างที่ว่ากันว่าเป็นคำตอบของปริศนาในการดำรงอยู่ของเอกภพ ที่มนุษยชาติเฝ้าเพียรหาคำตอบกันในทุกวันนี้ แน่นอนว่าเมื่อมันเป็นหนังเชิงปรัชญา ย่อมไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่ทุกสิ่งที่ปรากฎในเรื่อง สามารถตีความในเชิงสัญลักษณ์ได้แทบทั้งสิ้น ในความหมายที่ต่างกันไปตามประสบการณ์และทัศนคติของผู้ชม หลายคนอาจชมแล้วรู้สึกเฉย ๆ หลายชมอาจชมแล้วต้องร้องอุทานแทบทั้งเรื่อง และการตีความหมายในแต่ละครั้งที่กลับมาชมซ้ำ ก็แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ที่แปรเปลี่ยนของเรา2001 : A Space Odyssey ถูกกล่าวถึงในหลายแง่มุมและยังคงมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดกันไม่จบสิ้น เรียกว่าถ้าไม่ดูแล้วงงมาก ๆ ก็ต้องดูแล้วรักมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ถึงจะเก่ามากแล้ว และโปรดัคชั่นก็ไม่ได้หวือหวาเช่นในทุกวันนี้ แต่ด้วยความพิเศษของหนัง จะไม่แนะนำก็ไม่ได้เลยจริง ๆ ค่ะ ยังไงก็ต้องบอกก่อนว่า ใครที่คาดหวังความแฟนตาซีตื่นเต้น อาจจะผิดหวังเล็กน้อย บทพูดมีไม่มาก ส่วนใหญ่คือความเงียบและการใช้สัญลักษณ์สื่อความหมาย ค่อนไปทางน่าเบื่อได้เลยล่ะสำหรับบางคน แต่สำหรับใครที่รักทั้ง Sci-fi และปรัชญา ต้องรักเรื่องนี้และยกให้เป็นหนึ่งเรื่องในดวงใจแน่นอนค่ะ หากพร้อมจะสำรวจความลี้ลับของเอกภพกันแล้ว คลิก ที่นี่ ได้เลยจักรวาลเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่รอให้มนุษยชาติค้นหาคำตอบ สิ่งที่เรารู้ในวันนี้อาจเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ของทั้งหมดเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการเดินหน้าค้นหาคำตอบกันต่อไป หากเพื่อน ๆ สนใจในเรื่องราวอันลึกลับแต่น่าหลงใหลของจักรวาล ลองเลือกชมทั้ง 3 เรื่อง ที่ได้แนะนำนะคะ แล้วจะตามมาด้วยเรื่องอื่น ๆ อีกโดยไม่รู้ตัวเพราะวงการ Sci-fi เข้าแล้วออกยากจริง ๆ ;) เรื่อง : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)แหล่งอ้างอิงภาพประกอบ : ภาพปก / ภาพหนังจากหน้าเว็บไซต์ Netflix (1, 2, 3) / ภาพที่ 4