ในปัจจุบันถึงแม้ว่าวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของ covid-19 ในประเทศไทยจะดีขึ้นเป็นอย่างมาก จนมีการยกเลิกเคอร์ฟิวและปลดล็อกในเฟสที่ 5 แล้ว แต่ถึงแม้ว่าสถานประกอบการหลายแห่งจะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ แต่ก็ยังมีผู้คนมาใช้บริการบางตา บริษัทและโรงงานหลายแห่งก็ยังคงลดเงินเดือนพนักงานต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้หลายคนประสบวิกฤติการเงินเพราะรายได้ลดลงแต่ละรายจ่ายเท่าเดิม วันนี้ผมจึงมาขอเสนอ 3 เทคนิคที่จะช่วยให้พวกเราก้าวพ้นวิกฤติไปด้วยกัน เป็นวิธีง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้ทุกคน ได้แก่ ลดรายจ่าย เพิ่มรายไดั และการออมนั่นเอง เริ่มจากข้อแรกกันเลย 1. ลดรายจ่าย เป็นสิ่งแรกที่เราทำได้ง่ายที่สุด แต่ก็ต้องใช้วินัยมากที่สุด เช่นกัน ซึ่งการที่เราจะลดรายจ่ายได้นั้น ขั้นแรกเราจำเป็นต้องทำบัญชีรายรับ -รายจ่ายซะก่อน รายรับมีทั้งหมดเท่าไรรายจ่ายมีอะไรบ้างในแต่ละวัน List มาให้หมด จากนั้นเราก็มาพิจารณาว่ามีส่วนไหนบ้างที่เราสามารถตัดออกไปได้โดยที่เราไม่กระทบมากนัก ยกตัวอย่างเช่นจากกาแฟแบรนด์เนมเราก็อาจจะลดสเปคลงมาเป็นกาแฟร้านธรรมดา ทานข้าวนอกบ้านให้น้อยลง เปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลม รวมไปถึงการประหยัดน้ำประหยัดไฟ ก็จะสามารถลดรายจ่ายลงไปได้ส่วนหนึ่ง สมมุติว่าเราสามารถลดรายจ่ายลงไปได้วันละ 100 บาทแค่นี้แต่ละเดือนเราก็สามารถลดรายจ่ายลงไปได้ถึง 3000 พันบาทเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่แค่แพลนไว้อย่างเดียวนะครับเราต้องลงมือทำให้ได้ด้วย เพราะฉะนั้นวินัยทางการเงินจึงสำคัญมาก ๆ เมื่อเราลดรายจ่ายลงได้แล้วก็ไปถึงขั้นตอนต่อไป 2. เพิ่มรายได้ แน่นอนว่าในวันที่รายได้จากงานประจำลดลง เราก็จำเป็นต้องหารายได้เสริมจากทางอื่น แต่ก่อนที่เราจะหารายได้เสริมเราควรจะมีการวางแผนเสียก่อน เพื่อค้นหางานที่เหมาะกับสมกับตัวเรา โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาก็คือ 2.1 มีเวลาพอสำหรับงานเสริมมากแค่ไหน เราจะต้องคำนวณการใช้เวลาในแต่ละวันทั้งการทำงานประจำการเดินทางเวลาในการพักผ่อน แล้วมาดูว่าเราจะเหลือเวลาในการทำงานเสริมได้กี่ชั่วโมงในแต่ละวัน 2.2 ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ การทำงานเสริมอาจจะต้องมีการใช้เงินลงทุนในการซื้อวัตถุดิบ วัสดุ หรืออุปกรณ์ ซึ่งเราจำเป็นจะต้องรู้ว่างานชนิดไหนใช้เงินทุนเท่าไหร่เพื่อที่จะเลือกงานที่เหมาะสมกับเรา 2.3 คุ้มค่ากับแรงกายหรือไม่ แน่นอนว่าการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบกับสุขภาพของเราได้ เราจึงต้องเลือกงานที่เหมาะสมไม่หักโหมจนเกินไป จะกลายเป็นว่าเงินจากรายได้เสริมที่ได้มาต้องเอามาใช้รักษาสุขภาพที่เสียไป 2.4 มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ใครที่คิดจะขายของเป็นรายได้เสริม เช่นขายขนม อาหารเช้า แน่นอนว่าจะต้องมีการใช้เงินลงทุน ซึ่งก็จะมีความเสี่ยงพอสมควรที่อาจจะขาดทุนได้ ในกรณีที่ขายไม่หมดหรือขายไม่ออก เพราะฉะนั้นเราจึงต้องวางแผนให้ดีเพื่อให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด 2.5 ต้องไม่กระทบกับงานประจำอาชีพเสริมก็คืออาชีพเสริม ไม่ควรจะทุ่มเทจนเกินไปจนกระทบต่องานประจำ ถ้าเรารู้สึกเหนื่อยจนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานประจำลดน้อยลง เราควรปรับเปลี่ยนการทำงานเสริมให้พอเหมาะพอดีกับกำลังของเรา เพราะถ้าเราหักโหมจนสภาพร่างกายไม่พร้อมในการทำงานประจำ เราอาจจะก่อความผิดพลาด ทำให้งานเสียหาย จนอาจจะถูกปรับลดเงินเดือนหรือเชิญออกได้ แทนที่จะได้รายได้เพิ่มจะกลายเป็นตกงานเอา เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ครบถ้วนแล้วเราก็จัดการหางานที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุด อาจจะเป็นงานที่เราชอบเราถนัด เช่น ถ้าเราชื่นชอบการทำขนมแล้วมีอุปกรณ์พร้อมสูตรพร้อมสามารถทำได้เลยทันที ก็จะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ถ้าต้องไปซื้ออุปกรณ์ใหม่ต้องไปเรียนทำขนมเพิ่ม ก็ต้องใช้ทุนมากตามไปด้วย สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าเป็นงานประเภทออนไลน์ เราก็จะไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไรมาก เช่นการเป็นยูทูปเปอร์ การรับจ้างเขียนบทความ รีวิวสินค้า หรือจะไปเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ในกรณีของคนที่มีเวลาว่างค่อนข้างแน่นอน เช่นเสาร์อาทิตย์ ส่วนงาน Freelance ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เท่านี้เราก็จะมีรายได้เสริมเพื่อมาช่วยลดภาระได้อีกทางหนึ่ง ถึงแม้ว่าอาจจะทำได้ยากมากกว่าการลดรายจ่าย เพราะจะต้องทำงานมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น แต่ถ้าเราได้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่าเราก็อาจจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยก็ได้ 3. การออม อันที่จริงถ้าเพื่อนๆ ได้ทำตามข้อ 1 และข้อ 2 เชื่อได้ว่าภาวะเชื่อได้ว่าภาวะวิกฤติของเพื่อน ๆ จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนแน่นอน แต่ข้อที่ 3 นี้จะสามารถช่วยต่อยอดให้เพื่อน ๆ ในระยะยาวต่อไปได้ เพราะเราจะสามารถเก็บเงินที่ได้จากการออม ไว้เป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ ถามว่าจะเอาเงินตรงไหนมาออม คำตอบก็คือเงินที่เหลือจากการลดรายจ่ายไงล่ะ เราอาจจะแบ่งบางส่วนเพื่อการออม หัวใจหลักของการออมก็คือ เราจะต้องใช้เงินที่เหลือจากการออมไม่ใช่ออมจากเงินที่เหลือใช้ เพราะถ้าจะรอให้เงินเหลือใช้เราก็คงไม่ได้ออมสักที ปกติเราควรแบ่งรายได้ 10-20% มาออมไว้ทุกเดือน วินัยในการออมสำคัญที่สุด เมื่อคิดที่จะออมแล้วเราจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อแบ่งเงินนำไปออมก็ไม่ควรที่จะนำเงินส่วนนั้นออกมาใช้ ฝึกสร้างวินัยในการออม จน เป็นนิสัย โดยสามารถทำได้ดังนี้ 3.1 มีการตั้งเป้าหมายในการออมให้ชัดเจน แรก ๆ เราอาจจะกำหนดเป้าหมายในการออมระยะสั้นก่อน ระยะเวลาไม่เกิน 1-2 ปี สำหรับซื้อของที่อยากได้หรือเก็บไว้เป็นเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน จากนั้นก็เริ่มออมในระยะกลางใช้ระยะเวลา 2 ถึง 10 ปี สำหรับเป็นต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจหรือซื้อรถ ดาวน์บ้าน เป็นต้น ส่วนการออมระยะยาว ใช้ระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการสะสมเงินไว้ใช้เมื่อเราเกษียณนั่นเอง วิธีการออมโดยการเปิดบัญชีเงินฝากประจำ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเพราะเราจะไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ อีกทั้งยังมีดอกเบี้ยเป็นกำลังใจในการออมอีกด้วย เป็นยังไงบ้างครับ 3 ข้อ ที่จะช่วยให้เราฝ่าวิกฤติ covid-19 ไปด้วยกัน ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับถือซะว่าเป็น New Normal ของพวกเราก็แล้วกัน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายต่าง ๆ ออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่จะมีใครที่จะช่วยเราได้มากกว่าตัวเราเอง ดังเช่นพุทธสุภาษิตที่ว่า "อัตตาหิอัตโนนาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันครับ เครดิตภาพปกจาก pixabay.com เครดิตภาพประกอบ1 pixabay.com เครดิตภาพประกอบ 2 pixabay.com เครดิตภาพประกอบ 3 pixabay.com