ภาพประกอบปกจาก Pixabay สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อนแม้จะมี 3ฤดู แต่ก็มีแสงแดดแรงส่องตลอดทั้งปี และพอตากแดดก็จะเห็นฝ้าเริ่มชัดขึ้น หลายคนสงสัยว่าจริง ๆ แล้วฝ้าสามารถรักษาหายได้หรือไม่ แต่จากที่ผมค้นข้อมูลงานวิจัยพบว่า ฝ้าสามารถรักษาหายได้แค่ 80 เปอร์เซ็นต์ คือรักษาได้เฉพาะบริเวณผิวฝ้าแต่ตัวเม็ดสีผิวที่ทำให้เกิดฝ้าเราไม่สามารถรักษาให้หายได้ วันนี้ผมมีเทคนิครักษาฝ้ามาบอกดังนี้ครับ 1.ใช้ยาทาฝ้า ยาทาฝ้านั้นมีหลายตัวในท้องตลาด แต่มีสารสำคัญที่มักถูกนำมาใช้ผสมในเวชสำอางเพื่อใช้ให้ผิวสว่างดูขาวขึ้นที่แนะนำในการรักษาฝ้าคือ กลูต้าไธโอน หรือ อัลบูติน นอกจากนี้มีสารสำคัญอีกชนิดที่มักได้ยินว่าช่วยรักษาฝ้า คือ ไฮโดรควิโนน ซึ่งแม้มีฤทธิ์ในการรักษาฝ้าค่อนข้างดีแต่ก็เป็นสารอันตรายที่ผิดฎหมาย และหากใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจะทำให้หน้าบางลงเห็นเส้นเลือดทำให้เกราะบนผิวหน้าลดลงได้ ภาพประกอบปกจาก Pixabay 2. เลเซอร์ เลเซอร์นั้นมีหลายชนิดแต่เลเซอร์ที่แนะนำในการรักษาฝ้าคือ Q-Switched ND-YAG ซึ่งมักเห็นในคลินิคความงามหรือคลินิคผิวหนัง ข้อดีของเลเซอร์ตัวนี้คือ ทำแล้วคุณสามารถออกไปเที่ยวหรือทำงานได้เลย เพราะไม่มีลอยเข็ม ไม่มีเลือดออก ไม่เจ็บ สามารถแต่งหน้าทาครีมปกติได้เลย ข้อดีคือสามารถเล็งฝ้าจุดที่เล็ก ๆ ได้ ข้อเสียคือ บริเวณผิวฝ้าที่ถูกยิงนั้นจะแห้งทำให้หน้าบริเวณนั้นไวต่อแดดได้ ดังนั้นหากยิงเลเซอร์ชนิดนี้ให้ทาครีมให้ความชุ่มชื้นและทากันแดดให้เพียงพอ ภาพประกอบปกจาก Pixabay 3. เมโสฝ้า เมโสฝ้า เป็นการใช้เข็มทิ้มลงไปตื้น ๆ บริเวณผิวหนังชั้นกำพร้าหรือชั้นหนังแท้ด้านบนเพื่อปล่อยตัวยาลงไป ซึ่งมีคุณสมบัติในการแตกเม็ดสีผิวทำให้ร่างกายจับกินเม็ดสีผิวได้เร็วยิ่งขึ้นทำให้ฝ้าลดลง ข้อดีคือ เมโสฝ้าจะไม่ค่อยทำให้หน้าบางเหมือนเลเซอร์ บางคนตอบสนองดีจะเห็นผลได้เร็ว ข้อเสียคือ การใช้เข็มจะทำให้คุณเจ็บซึ่งจำเป็นต้องทายาชาก่อน 30-45 นาที ภาพประกอบปกจาก Pixabay และนี่ก็เป็นวิธีการรักษาฝ้า 3 วิธีที่สามารถช่วยลดฝ้าได้โดยสามารถทำทั้ง 3 วิธีควบคู่สลับกันได้ซึ่งทำได้ที่คลินิกความงามหรือคลินิคผิวหนังทั่วไป ทั้งนี้การรักษาฝ้าควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญไม่ค่อยซื้อผลิตภัณฑ์หรือเครื่องมือมาใช้เอง