หนังสือที่ตั้งใจจะหยิบมาเขียนถึงครั้งนี้ ตั้งใจว่าจะเป็นหนังสือเสริมกำลังใจให้ความแข็งแรงในยุคโควิด19 แต่ไม่คิดว่าหยิบไปหยิบมาจะเป็นหนังสือเล่มนี้ เดิมทีไม่ได้อยู่ในเป้าหมายเลย อาจจะเพราะว่าอ่านเล่มนี้มานานมากแล้วก็ได้ จนกระทั่งได้มีโอกาสเปิดอ่านด้านหลังจึงลองหยิบขึ้นมาอ่านอย่างจริงจังอีกสักครั้ง ซึ่งแน่นอนว่ามัน เยี่ยมยอดมาก ๆ จึงได้ข้อคิดอันทรงพลังทั้ง 4 มาแบ่งปันทุกคนเพื่อให้ลองเก็บไปคิดเล่น ๆ หรือหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดู แล้วคุณจะรู้ว่า ใครเอาเนยแข็งของฉันไป Who moved My cheese? เป็นหนังสือจิตวิทยาร่วมสมัยชั้นยอดจริง ๆ ข้อดีที่เห็นได้เด่นชัดจากการหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาคือ ความหวังที่จะอ่านหนังสือสักเล่มจนจบ สำหรับใครสักคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ หรือถ้าใครอ่านแล้วและลืมไปแล้วก็ลองมาอ่านบทความนี้ดูอีกรอบก็ได้เพื่อที่จะได้รู้ว่า หนังสือไม่ว่าอ่านกี่รอบเราจะพบความรู้สึกที่แตกต่างไปเสมอ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องผ่านการพูดคุยกันของกลุ่มเพื่อนในงานสังสรรค์ ที่มีเพื่อนคนหนึ่งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวละคร 4 ตัวที่เป็นหนู 2 ตัว และคนจิ๋ว 2 คน ที่วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตเพื่อหาเนยแข็ง ตัวละครแต่ละตัวดำเนินเรื่องไปตามสัญชาตญาณของแต่ละตัวละคร เรียกได้ว่าแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของการอภิปรายกันของเพื่อน และส่วนการเล่าเรื่องผ่านตัวละครจิ๋ว ซึ่งทำให้เกิดข้อคิดในหลาย ๆ แง่ และในหลากหลายอาชีพของกลุ่มเพื่อน แน่นอนว่าหนังสือจิตวิทยาทุกเล่มเมื่อเราหยิบมาอ่านก็มักจะได้ข้อคิดบางอย่างกลับมาเสมอ ข้อคิดอันทรงพลังทั้ง 4 ที่จะนำมาแบ่งปันอย่ามัวแต่จมปลักอยู่กับปัญหา หาทางแก้มันเดี๋ยวนี้อย่ามัวแต่จมปลักอยู่กับปัญหา หาทางแก้มันเดี๋ยวนี้ข้อคิดนี้ได้จากตัวละครที่เป็นมนุษย์จิ๋วตัวหนึ่ง ชื่อ เฮม เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะท่องข้อนี้ขึ้นใจ แต่คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องติดอยู่ในหัวเรา แต่บางครั้งเราต้องตระหนักว่า ทุกปัญหาหรือคำถามไม่ได้มีคำตอบเสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่จมปลักกับคำว่า ‘ทำไม’ แต่ให้ใช้คำว่า ‘ทำอย่างไร’ ใส่เข้าไปในหัวแทน บางครั้งเราไม่ต้องทำอะไรยิ่งใหญ่โดยการเปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติก็ได้ ลองทำอะไรง่าย ๆ โดยการเปลี่ยน ‘คำถาม’ บางครั้งอาจจะทำให้เราไม่จมปลักกับปัญหาและคำถามเดิม ๆ มากเกินไป ความว่างเปล่าแบบนี้เกิดขึ้นกับฉันบ่อยเหลือเกิน‘ความว่างเปล่าแบบนี้เกิดขึ้นกับฉันบ่อยเหลือเกิน’ คำพรรณนานี้อาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าข้อคิด แต่มันทำให้เราฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งในชีวิต เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะเกิดคำพร่ำรำพรรณแบบนี้ในหัว ไม่ต้องตกใจที่คนเขียนรู้ เพราะคนเขียนก็เป็น ประโยคนี้ตัวละครที่ชื่อ ฮอว์ ได้รำพรรณไว้ จริง ๆ ตัวละครตัวนี้จะเรียกว่าพระเอกก็ได้เพราะเขาแสดงความเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไปออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรามีพื้นที่ปลอดภัยเป็นของตัวเอง เราหลงอยู่กับสิ่งที่เรามี และบางครั้งเราก็คล้อยตามคนรอบข้างได้ง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราตัดสินใจก้าวออกมาจากสิ่งที่เราเคยเป็น และเดินเข้าไปในเขาวงกตที่คดเคี้ยว สิ่งแรกที่เรามีแน่นอนคือ ความกลัว แต่รู้ไหมว่ามันจะไม่อยู่กับเรานาน ถ้าเรารู้ว่าเรากลัว สิ่งแรกที่ต้องทำต่อไปคือ ถามตัวเองว่ากลัวอะไร เพราะอะไร แล้วเมื่อนั้นความกลัวจะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ความกลัวขจัดได้โดยการรู้ตัว ลองถามตัวเองดูว่าวันนี้เรากลัวหรือเรากำลังไม่รู้ตัวอยู่กันแน่ จินตนาการว่ามีความสุขกับเนยแข็งใหม่ แม้ยังไม่พบก็จะช่วยนำทางเราได้‘จินตนาการว่ามีความสุขกับเนยแข็งใหม่ แม้ยังไม่พบก็จะช่วยนำทางเราได้’ ประโยคฟังดูคุ้น ๆ ไหมประโยคนี้น่าจะเป็นคำที่คนสมัยนี้ใช้กันเยอะ หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ทฤษฏีแรงดึงดูด’ มันเป็นอะไรที่น่าตกใจมาก ในสมัยนั้นที่หนังสือนี้ถูกเขียนขึ้นทฤษฏีนี้น่าจะยังไม่เป็นที่นิยม แต่อย่างน้อยหนังสือเล่มนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ทฤษฏีสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จ กฎแห่งแรงดึงดูดก็สามารถใช้ได้จริง ดังนั้น ระวังสิ่งที่คุณหมกมุ่นอยู่ในหัวให้มาก ๆ วันหนึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องจริง และเชื่อเถอะว่ามันคงไม่ดีแน่ถ้าสิ่งที่กำลังอยู่ในหัวคุณตอนนี้มีแต่เรื่องแย่ ๆ แต่ข่าวดีคือ หลังจากอ่านบทความนี้และรู้ตัวแล้วว่า ‘สิ่งที่คุณคิดมันกำลังดึงดูดสิ่งที่คุณเป็น’ คุณยังเปลี่ยนมันได้วิธีอันแยบยลที่จะทลายกำแพงความเป็นตัวตนวิธีการเล่าเรื่องของนักเขียน วิธีอันแยบยลที่จะทลายกำแพงความเป็นตัวตน ที่ทำให้ใครสักคนกล้าเปิดใจเล่าเรื่องอะไรบางให้คุณฟังข้อคิดนี้ได้มาจากการอภิปรายของเพื่อน ๆ ในกลุ่ม และการวิเคราะห์อาชีพของนักเขียน ถ้าใครยังคิดถึงกำแพงที่พูดไม่ออกให้นึกถึงตัวเองตอนที่แม่ใช้ให้ทำความสะอาดห้องบ้าง แต่เรากลับเถียงแม่ออกไปว่ามันสะอาดดีแล้วทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้กวาดพื้นเลย จริง ๆ มันเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเรารู้สึกว่าโดนล่วงล้ำความเป็นตัวตนของเรา เราจึงต้องปกป้องตัวเอง หรือถ้ายังคิดไม่ออก ลองนึกถึงอาชีพของนักเขียนที่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจและต้องพบกับผู้ประสบความสำเร็จมากมาย มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทลายกำแพงความเป็นตัวตนของคนที่ผ่านอะไรมามากมายลงได้ง่าย ๆ แต่วิธีการที่เขาใช้สื่อสารผ่านการเล่าเรื่องโดยใช้ตัวละครทั้ง 4 ตัวเป็นตัวแทนบุคลิกด้านต่าง ๆ ของเรา เขาทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างที่บกพร่องในตัวเองผ่านตัวละครและกล้าที่จะพูดมันออกมาด้วยตัวของเราเอง มันทำให้เกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าเมื่อคนคนหนึ่งน้อมรับข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าที่เราจะคอยชี้นิ้วและยัดเยียดมันลงไป เชื่อเถอะว่ามันดีกว่าเสมอกับการที่เจ้าของบ้านยินยอมเปิดประตูบ้านให้ ข้อคิดที่ได้นี้อาจจะแตกต่างจากมุมมองทั่ว ๆ ไป และแน่นอนว่าผู้เขียนตั้งใจให้เป็นแบบนั้น ตราบใดที่เราอ่านหนังสือเล่มเดิมแล้วยังหามุมมองใหม่ ๆ ไม่ได้ ก็ให้อ่านจนกว่าจะหาได้แล้วจงใช้ชีวิตให้แตกต่าง เพราะความแตกต่างไม่ได้น่ากลัว และความแตกต่างไม่ได้ทำให้เราโดดเดี่ยว แต่มันทำให้เรายืนอยู่ในจุดที่คนอื่นสามารถมองเห็นความเป็นตัวตนของเราได้มากขึ้น ชื่อหนังสือ : ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป Who Moved My Cheese?เขียนโดย : Spencer Johnson, M.D.แปลโดย : ประภากร บรรพบุตรจัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ : 6 ( มีนาคม 2546)จำนวน : 93 หน้า ราคา : 148 บาท เพื่อนๆ สามารถหาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ที่ SE-ED BOOK ONLINE สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนอยากอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดบางครั้งก็แค่การเปิดกระดาษแล้วอ่านมุมมองความคิดของใครสักคนผ่านตัวหนังสือเท่านั้นเอง เขียนและเรียบเรียงโดย ตัวอักษรสีน้ำเงินนักอ่านที่หมกมุ่นกับการเขียนหนังสือนักอบขนมอินดี้ที่ SoSoBrownie (ร้านขนมออนไลน์)นักเดินทางที่แบกเป้เพื่อเรียนรู้โลกกว้าง เพื่อนๆ สามารถเข้ามาพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ที่ Blogger : https://blueletterstudio.blogspot.com/Facebook : https://www.facebook.com/blueletterstudio/StoryLog : https://storylog.co/BlueLetterStudio ขอขอบคุณรูปภาพประกอบภาพหน้าปก รูปถ่ายโดยผู้เขียนรูปภาพที่ 1 รูปถ่ายโดยผู้เขียนรูปภาพที่ 2 ภาพจาก pixabayรูปภาพที่ 3 รูปถ่ายโดยผู้เขียน