ในช่วงวิกฤติโคโรน่าไวรัสหรือ Covid-19 นี้ หลายคนอาจรู้สึกท้อแท้ มืดมน บางคนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในวิถีชีวิตประจำวัน วิกฤติมาไม่ทันให้ตั้งตัว โรคภัยว่าร้ายแล้ว ภาวะเศรษฐกิจยิ่งย่ำแย่กว่า เราอาจยังไม่ติดเชื้อ ยังมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ แต่สภาพจิตใจนั้นเล่า ภาวะเครียด ความเศร้า ความหม่นหมองอาจกัดกินชีวิตเราได้ในระดับเดียวกันหรืออาจจะยิ่งกว่าเจ้าเชื้อไวรัสนั้นก็เป็นได้ เหมือนที่เราเห็นข่าวทุกวี่วันในช่วงนี้ คุณตาตกงาน ปั่นจักรยานกลับบ้านที่ต่างจังหวัดโดยไม่มีเงินแม้สักบาทเดียว คุณป้าผูกคอตายเพราะไม่ได้รับเงินเยียวยา คุณลุงฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าแท็กซี่ และอีกสารพัดชีวิตผู้คนที่ผ่านสายตามาให้เราร่วมหม่นเศร้า อย่างนี้แล้ว เราทำอะไรได้บ้าง? หากเราไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ ไม่มีกำลังทรัพย์ไปแจกจ่ายเพื่อบรรเทาทุกข์ผู้คน ไม่มีเงินไปร่วมบริจาค อย่างน้อย ทำตัวเองให้แข็งแรงทั้งทางร่างกาย ปลอดจากโรคภัยเพื่อไม่ต้องเป็นภาระให้แพทย์และพยาบาล กับทั้งทำสภาพจิตใจให้แข็งแรง พร้อมรับมือกับสถานการณ์และเป็นอีกหนึ่งกำลังในการส่งต่อความเข้มแข็งให้ผู้คนรอบข้าง เท่านั้นก็น่าจะพอไหวและพอดีในระดับหนึ่ง วันนี้ เพื่อสร้างพลังใจให้แข็งแรง เรามีหนังสือมาแนะนำค่ะ เพราะช่วงเวลาแห่งการกักตัวต้องไม่ใช่แค่การหนี แต่ต้องเป็นการบ่มเพาะตัวเองให้แข็งแรงและมีพลัง พร้อมที่จะออกไปเผชิญกับอะไรที่รออยู่ หลังจากประตูเปิดออกอีกครั้ง เกริ่นมาด้วยสำนวนจริงจังขนาดนี้ อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะมาแนะนำหนังสือฮาวทูหรือจิตวิทยาการพัฒนาตนเองที่เนื้อหาหนักๆ นะคะ ตรงกันข้ามเลยค่ะ เรากำลังจะพาทุกคนออกเดินทางเพื่อสร้างโลกใบใหม่ที่อาจหน้าตาแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน แต่เราเชื่อว่า หนังสือทั้ง 4 เล่ม จะสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจากภายในอย่างแน่นอน พร้อมแล้วก็ลุยกันเลยค่ะ 1. วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว : มูเระ โยโกะ หน้าปกละมุน ชื่อเรื่องก็ชวนฉงน แต่เมื่อได้เปิดเข้าไปในโลกใบนี้แล้ว เราจะรู้สึกสงบอย่างประหลาดเลยค่ะ หนังสือขายดีติดอันดับทั้งในประเทศไทยและประเทศต้นกำเนิดคือ ญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องเล่าของหญิงสาวที่จู่ๆ ชีวิตอันแสนเรียบง่ายก็เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันด้วยการจากไปของผู้เป็นแม่ วิถีชีวิตจากเดิมที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานตามกิจวัตรประจำวัน ต้องผันแปรมารับช่วงต่อร้านอาหารที่แม่สร้างไว้ แต่กระนั้น ภายใต้การเปลี่ยนแปลง หญิงสาว (อันที่จริงก็ไม่สาวเท่าไหร่ ผ่านร้อนผ่านหนาวและใช้ชีวิตจนเข้าใจอะไรๆ มาระดับหนึ่ง) ก็รับมือกับการเปลี่ยนแปลงและแรงเสียดทานที่รายล้อมรอบตัวจากสภาพสังคม จากแววตาและเสียงนินทาของผู้คน จากความคาดหวังของคนรอบข้างได้อย่างแข็งแกร่งมากๆ การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ทรงพลังอย่างน่าประหลาด ทำให้เรารู้สึกสงบนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหวไปกับตัวละคร ทำให้เราร่วมรับรู้ได้ว่า ถ้าเราเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ เสียงของคนอื่นจะไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย และการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เกิดขึ้นได้ทุกวัน บางวันอาจเป็นเรื่องเล็กๆ ที่แค่ทำให้เราตกใจ แต่บางวันก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้เราเสียศูนย์ไปเลยก็ได้ แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องผ่านมันไป มีชีวิตต่อไปให้ได้ในทุกๆ วัน พิกัดหนังสือ: สำนักพิมพ์ Sandwich publishing ราคาตามปก 230 บาท แต่ช่วงนี้ร้านหนังสือปิด สั่งจากร้านหนังสือออนไลน์ได้นะคะ แอบเห็นที่ thailand.kinokuniya.com มีส่วนลด 10% และเป็นหนังสือ Best seller ด้วยค่ะ 2. First Generation : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ จริงๆ แล้วเล่มนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสืออัตชีวประวัติของคุณพ่อของผู้เขียน แต่โดยเนื้อหา ไทม์ไลน์การเล่าเรื่องนั้น สามารถเรียกว่าเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ย่อมๆ ของยุคสมัยรุ่นคุณปู่คุณย่าของเราก็ว่าได้อีกเช่นกัน รุ่นคนจีนอพยพที่มีคำเปรียบเปรยว่า มีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ มาตายเอาดาบหน้าในสยามประเทศ (แต่จริงๆ แล้ว บางคนนั้นมาแต่ตัวโดยแท้ เสื่อสักผืนหมอนสักใบก็ไม่มี) แล้วสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างลูกสร้างหลานให้เป็นอีกกำลังในการพัฒนาประเทศไทย เหตุที่หยิบยกเล่มนี้มาให้อ่านในสถานการณ์อย่างนี้ก็เพราะว่า บางคนนั้น จากที่เคยมั่งมี อาจพลิกผันไปอีกทาง ชีวิตจากที่เคยปกติก็อาจไม่ปกติ แต่กระนั้น เมื่อลมหายใจยังมี เราก็ไม่ควรทิ้งความหวัง คนเคยมีกลับกลายเป็นไม่มี คนไม่มีก็สามารถเป็นคนมีได้เสมอ ตราบที่เรายังพยายาม และหากว่าเราพยายามแล้วยังไม่มี ก็ไม่ได้หมายความว่าเราล้มเหลว เราอาจไม่ประสบความสำเร็จในหลายเรื่อง แต่แน่นอนว่าต้องมีสักเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จในสักวัน หนังสือเล่มนี้บอกเราว่า ชั่วชีวิตของคนๆ หนึ่งอาจล้มลุกคลุกคลาน ทำธุรกิจอะไรก็เจ๊งไม่เป็นท่า ชีวิตมีแต่หนี้สินพะรุงพะรัง ต้องหนีคดีเป็นสิบๆ ปี เขาอาจไม่ประสบความสำเร็จในฐานะนักธุรกิจ แต่ในอีกแง่มุม เงื่อนไขหรือสภาวะในชีวิตของเขา คือวัตถุดิบชั้นดีในการหล่อหลอมลูกๆ หลายคนให้ได้ดิบได้ดีจากความแร้นแค้นนั้น นี่ก็เรียกได้เช่นกันว่า เขาประสบความสำเร็จ...ในฐานะพ่อ เขาเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกแล้วลูกๆ เติบโตขึ้นมาเป็นประชากรที่ดีของประเทศ เราเรียกใครว่าเป็นผู้ล้มเหลวไม่ได้เลย ตราบที่ยังสู้ ทุกคนล้วนคือผู้ชนะ พิกัดหนังสือ: สำนักพิมพ์ SALMON ราคาตามปก 190 บาท สั่งจากเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ได้เลยค่ะ (store.minimore.com) 3. WILD SIDE ในนามของธรรมชาติ : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ไม่ได้ตั้งใจจะอวยนักเขียนแต่อย่างใด เป็นความบังเอิญโดยแท้ที่ต้องหยิบเล่มนี้มาเป็นหนึ่งในสี่เล่ม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในยามวิกฤติ เราทุกคนต่างได้เรียนรู้ร่วมกันว่า ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าปัจจัยสี่จริงๆ เราไม่ต้องมีเครื่องสำอาง ไม่ต้องมีเสื้อผ้า เรางดการซื้อของหลายๆ อย่างได้ แต่งดการจับจ่ายใช้สอยเพื่อกักตุนอาหารและเครื่องอุปโภคที่จำเป็นไม่ได้ เรามีรถไฟฟ้า มีเครื่องบิน มีคอนโดหรู มีความสะดวกสบาย แต่ไม่มีความสุขเมื่อรู้สึกขาดอากาศที่ดี ขาดอาหารที่ดี ขาดธรรมชาติที่มาเยียวยาจิตใจ วิกฤติสอนให้เรารู้ว่า ธรรมชาติและความปกติธรรมดานั้น สำคัญต่อชีวิตของเรามากแค่ไหน และหนังสือเล่มนี้ที่ส่งเสียงเรียกเตือนเรามาตลอด ก็เหมือนจะส่งเสียงดังขึ้นอีก ดังขึ้นอีก ดังขึ้นในทุกๆ วัน พิกัดหนังสือ: สำนักพิมพ์ SALMON (อีกแล้ว) ราคาตามปก 195 บาท สั่งจากเว็บไซต์สำนักพิมพ์เหมือนเล่มบนเลยค่ะ (store.minimore.com) 4. Lonely Kitchen : สาวิตตรี สระทองเทียม เล่มนี้ที่ต้องแนะนำเพราะดีงามและกู้ชีพมากในยามวิกฤติมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว คนที่ไม่เคยทำอาหารกินเองแต่จำเป็นต้องเอาตัวรอดในช่วงกักตัว จะอยู่อย่างไรให้สภาพจิตใจไม่เสื่อมโทรม อาหารการกินย่อมสำคัญ และการเข้าครัวอาจเป็นมากกว่าการเข้าครัว การเข้าครัวอาจเป็นยาวิเศษป้องกันอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย หมดพลัง และทำให้เรามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง นอกจากเมนูที่สามารถทำตามได้ง่าย มีความพิเศษ และ (ดูท่า) น่าอร่อยแล้ว สำนวนการเขียนของผู้เขียนยังอ่านเพลิน ช่วยให้เราสงบจิตสงบใจ และแจ่มใสขึ้นได้อีกด้วยค่ะ พิกัดหนังสือ: สำนักพิมพ์ everyday ราคาตามปก 395 บาท ตอนนี้เห็นในเว็บ Se-ed มีขาย ลองไปจิ้มๆ เลือกกันดูนะคะ หวังว่าสักเล่มในบรรดาสี่เล่มจะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยให้ใครสักคนเข้มแข็งและมีพลังมากขึ้น ขอให้ (ยัง) สนุกสนานกับชีวิตในทุกๆ วันค่ะ ภาพทั้งหมดโดย : นักเขียน