หลังจากสถานการณ์โควิด พบว่าสถิติจำนวนผู้ที่จบการศึกษามีโอกาสถึงร้อยละ 60 ที่จะคืนถิ่นบ้านเกิด และในจำนวนคนเหล่านั้นหลายคนเลือกอาชีพ “เกษตรกร” ต่อจากครอบครัวหรือเริ่มต้นด้วยตนเอง ทั้งนี้ไม่ว่าจะอย่างไรเมื่อเป็นก้าวแรกของชีวิตต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างเพื่อลดอุปสรรค จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนที่ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรและไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเกษตรกรเครือข่ายทั่วประเทศ จึงอยากชวนให้พินิจเนื้อหาเหล่านี้ เพื่อเป็นแนวทางอย่างชัดเจนและเมื่อลงมือทำไปแล้วจะเกิดการพัฒนาได้รวดเร็ว ซึ่งผู้เขียนพบ 5 ขั้นตอนที่น่าสนใจ ดังนี้ 1.มองหาเป้าหมาย อาจจะฟังดูไกลตัวสำหรับการเริ่มต้น จากประสบการณ์ ผู้เขียนพบว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ที่คืนถิ่นและมีเป้าหมายที่ชัดเจน ร้อยละ80 จะประสบผลสำเร็จเร็วกว่า คนที่คืนถิ่นฐานในปีเดียวกัน ลองคิดดูว่า ถ้าเรารู้ว่าเราจะเดินทางไปกรุงเทพจากบ้านที่เราอยู่ เราก็วางแผนการเดินทางผ่านจังหวัดนั้น อำเภอนี้ ไปอย่างไรเพื่อไม่ให้หลงทาง เสียเวลาและเงินทอง เหมือนกันกับการวางเป้าหมายในการทำเกษตรกรรมของตนเอง เมื่อวางเป้าหมายได้แล้วก็จะสามารถวางแผนการทำงานได้ต่อไปอย่างง่ายดาย เป้าหมายที่วาดฝันไว้วันข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงก็สามารถทำได้นะครับ เมื่อลงมือทำจนกระทั้งถึงวันหนึ่งที่เรามีเหตุผลที่ดีกว่าหรือพบจุดเปลี่ยน ซึ่งเหตุผลหรือเหตุการณ์เหล่านั้นอาจจะเปลี่ยนแปลง “เป้าหมาย” ได้เสมอ ถ้าเรามั่นคงดีแล้ว2.ศึกษาความรู้อย่างเป็นระบบ ปัจจุบันมีองค์ความรู้มากมายที่สามารถนำมาช่วยพัฒนาการเกษตรได้ เมื่อก่อนที่เราจะเริ่มลงมือทำหากเราศึกษาไว้ก่อนให้สอดคล้องกับเป้าหมายและแผนที่กำหนดไว้ข้างต้น จะช่วยให้ลดข้อผิดพลาดได้อย่างมาก เช่น การออกแบบพื้นที่ การจัดการพลังงาน หรือพลังงานทดแทน มาตรฐานการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ การแปรรูปหรือการบริการ การตลาดและตลาดออนไลน์ หรือเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเข้าไปขอเรียนรู้ได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอหรือสถาบันการศึกษาใกล้บ้านของเราเบื้องต้น 3.วางแผนการเงิน จากประสบการณ์ผู้เขียนเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ทำบัญชีครัวเรือน บางครอบครัวมีหนี้สินนอกระบบและไม่มีสัญญา ทั้งนี้พอเราจะกลับมาช่วยที่บ้านจะเจอปัญหาหนี้สินครัวเรือนจากกิจกรรมเกษตรที่ทำมาก่อน ดังนั้นการเริ่มต้นฝึกฝนการจัดการเงินและบัญชี เป็นเรื่องที่สำคัญมาก การจดบัญชี การใช้จ่ายอย่างเป็นเหตุ~เป็นผล จะช่วยให้เรารู้ที่มาและที่ไปของเงิน นอกจากนี้การที่เราจดบัญชี จะทำให้เรารู้ว่ามีต้นทุนเท่าไหร่ จะได้รู้ว่าควรจะขายผลผลิตเท่าไหร่ถึงจะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตภาคเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืน 4.ใช้เวลาว่างเพื่อปรับตัว หรือปรับพื้นที่ ก่อนลงมือทำเต็มตัวนั้น การที่เราได้ทดลองลงมือทำในช่วงเวลาว่างๆ จะช่วยฝึกฝนประสบการณ์และอาจจะเริ่มปรับพื้นที่ไปเบื้องต้น ซึ่งจะช่วยให้เราทำได้เร็วขึ้น ซึ่งกะเกณฑ์ไม่ได้ว่าควรจะทำมากน้อย แต่ก็ควรจะเป็นไปตามแผนที่ตั้งใจไว้ก็จะดีมาก จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่าเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เตรียมตัวเองได้ดี จะมีความสุขมากเมื่อเริ่มต้นลงมือเต็มเวลา 5.พูดคุยกับคนในครอบครัว ข้อนี้หลายคนมองข้าม บางครอบครัวไม่อยากให้ลูกกลับบ้าน กลัวลูกเหนื่อย ลำบาก ซึ่งเราจะต้องแสดงเจตนาให้ชัดว่ามีแผนการอย่างไร ครอบครัวจะได้เห็นภาพร่วมกันและเปิดโอกาสให้มาช่วยกันพัฒนา หรือในบางคนที่กลับมาช่วยที่บ้าน แต่ที่บ้านไม่รับฟังความคิดเห็น ยังทำเกษตรกรรมรูปแบบเดิม ซึ่งบางทีเราอยากจะทดลองอะไรใหม่ๆ หรือทำเกษตรกรรมให้ได้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยหรือเกษตรอินทรีย์ ทั้งนี้ผู้เขียนขอแนะนำว่าอาจจะต้องตกลงขอแบ่งพื้นที่มาทำเองบางส่วน จากประสบการณ์ผู้เขียนพบว่าเพื่อนเกษตรกรประสบปัญหา จาก 2 เหตุผลนี้เป็นหลัก จนต้องกลับไปหางานทำนอกบ้าน เพราะฉะนั้น การพูดคุยกันก่อน จะเปิดโอกาสให้กันและกัน บ้าน~ครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า และเป็นกำลังใจให้กันและกันทุกข้อที่ผู้เขียนกล่าวมานั้นสังเคราะห์มาจากประสบการณ์ที่ทำเกษตรกรรม ซึ่งพยายามสะท้อนให้เกษตรกรรุ่นใหม่ ได้เตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มต้น เราจะได้มีเพื่อนใหม่ๆ ที่ทำเกษตรสำเร็จและสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นๆ ต่อไป อีกทั้งยังผลิตอาหารให้สังคมอย่างยั่งยืนด้วยกัน สำหรับผู้เขียนอาชีพเกษตรกรเป็นความสวยงามเราผลิตอาหารกินเอง สะอาดปลอดภัย และมีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่น หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือหลายคนที่กำลังจะเริ่มต้นครับ ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ รูปภาพทั้งหมดของผู้เขียนเอง อ่านเพิ่มเติมทักษะที่เกษตรกรรุ่นใหม่ต้องรู้ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !