เบื่อไหมที่กว่าจะคิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ในแต่ละครั้งต้องนึกจากภาษาไทยก่อนแล้วค่อยแปลไปเป็นภาษาอังกฤษอีกที กว่าจะคิดได้แต่ละประโยคก็หมดเวลาไปมากโขเชียว ชีวิตคงจะง่ายกว่านี้หากเราสามารถคิดเป็นภาษาอังกฤษได้ในทันทีถ้าเห็นด้วยแล้วล่ะก็ เรามาดู 5 ขั้นตอนฝึกสมองให้คิดเป็นภาษาอังกฤษกันเลยดีกว่าขั้นตอนที่ 1 ฝึกนึกคำศัพท์เราสามารถเริ่มโดยนึกถึงคำศัพท์ง่าย ๆ จากสิ่งที่เราเห็นรอบ ๆ ตัวก่อน เช่น ตอนเรารอรถไฟอยู่ที่สถานีแล้วเห็นคนกำลังลากกระเป๋าเดินทางอยู่บนชานชาลาก็ลองนึกถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษของคำว่า กระเป๋าเดินทาง ซึ่งก็คือ luggage ( ลักแก็จ ) พอเข้าไปในขบวนรถไฟแล้วกำลังยืนจับเสาอยู่ก็นึกคำว่า เสา นั่นก็คือ pole ( โพล ) ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หากเราเห็นสิ่งใดแล้วไม่รู้ศัพท์ของคำนั้นก็ให้จดเอาไว้แล้วไปค้นหาทีหลัง อาจจะค้นจากกูเกิ้ลแปลภาษา, ดิกชันนารี หรือจากแหล่งสืบค้นอื่น ๆ ก็ได้แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกแบบไหนขั้นตอนที่ 2 ฝึกแต่งประโยคบอกเล่าในใจในขั้นตอนนี้เป็นการต่อยอดจากขั้นตอนแรก หลังจากเราเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ และมีคลังคำศัพท์มากขึ้นแล้วก็ให้ฝึกสร้างประโยคจากสถานการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเรา เช่น เรากำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก็ให้ดูว่าผู้ชายหรือผู้หญิงที่นั่งโต๊ะฝั่งตรงข้ามกำลังทำอะไร หากเธอ ( ผู้หญิง ) กำลังทานอาหาร เราก็นึกแต่งประโยคบอกเล่าจากสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่เช่น She is having dinner. เธอกำลังทานอาหารค่ำอยู่จากนั้นก็สร้างประโยคอื่นต่อ ๆ ไป อาจจะสร้างประโยคว่าพนักงานเสิร์ฟกำลังทำอะไร ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่นั้นกำลังเดินไปที่ไหน อาจลองอธิบายแม้กระทั่งบนโต๊ะของพวกเขาหรือของเรามีอะไรวางอยู่บ้างก็ได้ เราสามารถฝึกแต่งประโยคแบบนี้ได้ในทุกที่ทุกเวลา หากเราติดขัดการแต่งประโยคไหน หรืออยากจะพูดแบบนี้แต่ไม่รู้จะแต่งยังไงก็ให้เราจดประโยคเหล่านั้นไว้แล้วไปค้นหาจากกูเกิ้ล, ยูทูป, ถามคุณครูหรือเพื่อนที่พอจะช่วยเราได้ขั้นตอนที่ 3 ฝึกพูดคนเดียวหลังจากที่เราแต่งประโยคบอกเล่าเป็นแล้ว คราวนี้ก็มาถึงประโยคคำถามและการตอบกันบ้าง เราสามารถทำได้โดยการพูดคนเดียว ซึ่งการพูดคนเดียวในที่นี้หมายถึงการพูดออกเสียงในเวลาที่เราอยู่คนเดียว แต่พูดในใจเมื่อเราอยู่ในที่สาธารณะ เพราะเราคงไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเราเพิ่งหนีออกมาจากโรงพยาบาลศรีธัญญาใช่ไหมล่ะวิธีฝึกในขั้นตอนนี้เราอาจจะเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้าเลยก็ได้ หลังจากลืมตาขึ้นมาเรามักจะสงสัยว่า กี่โมงแล้วนะ แทนที่จะเราถามตัวเองเป็นภาษาไทยก็ให้ฝึกถามเป็นภาษาอังกฤษแทน เช่นWhat time is it? กี่โมงแล้วนะIt’s ten past six. หกโมงสิบนาทีนั่นเองI‘ll take a shower. ไปอาบน้ำดีกว่าWhich shirt should I wear today? วันนี้จะใส่เสื้อตัวไหนดีI’ll go for this one. ใส่ตัวนี้ละกันทำแบบนี้ในทุก ๆ วัน โดยอาจะผลัดเปลี่ยนสถานที่และเวลาไปเรื่อย ๆ เพื่อฝึกพูดในบริบทที่แตกต่างกันออกไปขั้นตอนที่ 4 หมกมุ่นอยู่กับภาษาอังกฤษอ๊ะ อ๊ะ ช้าก่อน อย่างเพิ่งเข้าใจผิด การหมกมุ่นกับภาษาอังกฤษที่กำลังพูดถึงอยู่นี้หมายถึงการสร้างสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราให้มีภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด เช่น ฟังเพลงภาษาอังกฤษแทนเพลงภาษาไทย, ดูซีรีส์ที่ตัวละครพูดภาษาอังกฤษทั้งเรื่อง อาจจะเปิดซับไตเติ้ลภาษาไทยเพื่อทำความเข้าใจไปก่อนในการฝึกช่วงแรก, ฟังพอดแคสต์หรือฟังข่าวภาษาอังกฤษ เรียกง่ายๆ ว่าอยู่กับสื่อภาษาอังกฤษให้มากกว่าภาษาไทย หากอยากให้เห็นผลเร็วควรจะอยู่กับมันในทุกวันและทุกเวลาเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้สมองซึมซับได้มากที่สุดขั้นตอนที่ 5 หาคำตอบที่ถูกต้องสิ่งสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายก็คือ เมื่อเราติดขัดหรือไม่รู้สิ่งใดแล้วควรจดและนำไปหาคำตอบจากผู้รู้หรือจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้อยู่เสมอ ๆ ไม่ควรปล่อยทิ้งให้ความไม่รู้อยู่ติดตัวกับเราไปตลอดผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันออกไป ปัจจัยสำคัญคือความสม่ำเสมอและเวลาที่ใช้ในแต่ละวัน ควรเริ่มตั้งแต่ฝึกวันละ 10 - 20 นาที ไปจนถึง 1 - 2 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งคนที่ใช้เวลาไปกับภาษาอังกฤษมากกว่าก็ย่อมเห็นผลเร็วกว่าเป็นธรรมดา เพียงทำตามทั้ง 5 ขั้นตอนข้างต้นเราก็จะเริ่มคิดเป็นภาษาอังกฤษได้ในทันทีโดยไม่ต้องแปลจากภาษาไทยอีกต่อไปแล้วล่ะ ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ Pixabay และ freepik รูปปก / รูปประกอบที่ 1 / รูปประกอบที่ 2 / รูปประกอบที่ 3 / รูปประกอบที่ 4 / รูปประกอบที่ 5