สวัสดีน้อง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้องม.6 ที่กำลังลังเลว่าจะเรียนอะไรต่อดี น้องปี 1 ที่ยังไม่มีจุดหมายในการเข้ามหาวิทยาลัย หรือว่าทุก ๆ คนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่นะครับ เคยสงสัยไหมครับว่าเมื่อเราเข้าไปในรั้วของมหาวิทยาลัยแล้วเราเข้าไปทำอะไร บางคนอาจจะตอบว่าเข้าไปศึกษาหาความรู้ในสาขาที่ตนได้เลือกไป บางคนอาจไม่รู้แน่ชัดด้วยนะครับว่าตนเองเข้าไปทำอะไร เพียงแต่ว่าระบบการศึกษา พ่อ แม่ และครู บอกว่าหลังเรียนจบม.6 แล้วให้ไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้มีงานทำ วันนี้ผมจะมานำเสนอเรื่องที่ผมได้จากการเรียนมหาวิทยาลัยทั้งหมด 4 ปีมาฝากกันครับ ซึ่งเป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่อยากแนะนำจากประสบการณ์ครับ1.ตอบคำถามที่เราสงสัยให้ได้ภายใน ปี 2 ข้อนี้สำหรับคนที่ยังไม่รู้นะครับว่าเราเข้ามาทำอะไรในมหาวิทยาลัยนี้ คณะนี้กันแน่ บางคนอาจจะงง ๆ ในตอนแรกที่เข้ามาแล้วหลงไปกับสิ่งต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยจนลืมที่จะถามว่าเราเข้ามาทำไร สิ่งที่เราต้องการหลังจบจากคณะนี้แล้วคืออะไร และเป้าหมายของชีวิตเราคืออะไร เพื่อที่เราจะได้มีจุดมุ่งหมายและตั้งสติให้ได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ จะเดินไปทางไหน และเดินไปทางนี้ทำไม เพราะเมื่อเรารู้แล้วว่าเราจะทำอะไรเราก็สามารถเลือกเองได้ครับบางคนอาจยังอยู่ในคณะเดิม บางคนอาจทำเรื่องย้ายคณะ ย้ายสาขา บางคนอาจซิ่ว ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับแม้ว่าสุดท้ายแล้วจุดหมายเราอาจจะเปลี่ยนไปแต่ว่าเราก็สามารถตอบได้ว่าทำไมเราจึงเลือกเดินทางนี้ครับ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมต้อง 2 ปีนั้นเพราะว่าอีก 2 ปีหลังจากนั้นเราจะได้ใช้ชีวิตที่เราเลือกเองอย่างมีความสุขครับ บางคนอาจตอบได้แล้วหาได้เร็วกว่านี้ก็ถือว่าโชคดีครับ แต่สำหรับบางคนที่จบแล้วยังตอบไม่ได้ก็ต้องพยายามหาต่อไป สู้ ๆ ครับ สำหรับคนที่สงสัยอาจลองค้นหาใน Google ได้เลยครับว่าเราจะหาคำตอบได้อย่างไร ถ้าใครเคยดูรายการกบนอกกะลาอาจคุ้นเคยกับคำนี้ครับ "ความลับของคำตอบอาจนำไปสู่คำถามต่อไป"เราเข้ามาทำอะไร - สิ่งที่เราต้องการคืออะไร - เป้าหมายต่อจากนี้เราอยากทำอะไร2.ทำในสิ่งที่ตนเองเลือก และปฏิเสธสิ่งที่เราไม่อยากทำ ในมหาวิทยาลัยเราจะต้องพบเจอกับกิจกรรมมากมายทั้งของคณะและของมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งบางกิจกรรมเป็นกิจกรรมที่ต้องทำเนื่องจากเป็นข้อกำหนดของทางมหาวิทยาลัย บางมหาวิทยาลัยอาจโชคดีที่ไม่มีข้อกำหนดในส่วนตรงนี้ โดยบางกิจกรรมที่ต้องทำก็ต้องทำนะครับ แต่บางกิจกรรมที่นอกเหนือจากนั้นเป็นกิจกรรมที่เราสามารถเลือกได้เองเราก็ต้องเลือกให้ดีเพราะถึงแม้จะมีโอกาสได้ลองทำหลาย ๆ อย่างแต่บางอย่างก็มักจะมีคนมาบอกให้เราทำทั้ง ๆ ที่ลึก ๆ แล้วเราไม่ได้อยากทำ ที่นี้ต้องลองถามตัวเองดูดี ๆ ครับว่า เราอยากทำจริงไหม ทำแล้วเราจะได้อะไร หรือทำแล้วเราจะมีความสุขหรือเปล่า ถ้าเราตอบว่าไม่ใช่เราก็ควรที่จะปฏิเสธไป เพราะบางครั้งการปฏิเสธบ้างก็ไม่ได้ผิดอะไรเพียงแต่เราได้เลือกแล้วต่างหากปฏิเสธบางอย่างที่ไม่อยากทำ เพื่อนำเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำ3.หาความรู้ที่ไม่ได้มีแค่ในตำราแต่เป็นความรู้สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ แม้ในมหาวิทยาลัยจะมีคณะมากมาย วิชาหลากหลาย หนังสือละลานตา แต่ก็ไม่สำคัญเลยว่าเราจะนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้ในชีวิตจริงหลังจบไปแล้วอย่างไร เพราะนอกเหนือจากความรู้ในการประกอบอาชีพแล้วความรู้ในการใช้ชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน บางมหาวิทยาลัยอาจมีสอน บางมหาวิทยาลัยอาจต้องเรียนรู้และศึกษาเอง สำหรับความรู้ในการใช้ชีวิตนั้นเป็นทักษะที่เราอาจได้จากการทำกิจกรรมก็ดี อ่านหนังสือนอกเหนือจากหลักสูตรก็ดี หรือมีสอนในวิชาที่สามารถลงเรียนได้ก็ดี ล้วนแล้วแต่ต้องเลือกที่จะนำไปปรับใช้ทั้งนั้นครับ สำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องของ การเมือง เศรฐกิจ เงินตรา ภาษี ทักษะการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์ เทคโนโลยี และอื่น ๆ อีกมากมายถ้าอยากรู้ว่าเราต้องรู้เรื่องอะไรบ้างนั้นลองนึกภาพว่าเมื่อตนเองได้ทำงานแล้วเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้างก็ศึกษาในเรื่องนั้น ๆ ก่อนก็ได้ครับก็มันอยากเรียน เวลาชนกันทำไมเนี่ย4.เป็นมิตรเข้าไว้ ในมหาวิทยาลัยเราจะได้เจอกับผู้คนที่หลากหลาย ลักษณะนิสัยที่หลากหลาย บุคลิกที่หลากหลาย ความรู้ที่หลากหลาย สำเนียงที่หลากหลาย และวัฒนธรรมประจำตัวที่หลากหลาย แน่นอนว่าเราก็ต้องปรับตัวให้หลากหลายเพื่อเข้ากับผู้คนที่มีความหลากหลายตลอดการศึกษา แม้ว่าความสัมพันธ์ในมหาวิทยาลัยอาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่ดูห่างเหินพร้อมที่จะขาดได้ แต่ก็มีหลายคนที่สามารถทำให้มันแน่นขึ้นได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วเราอยากได้ความสัมพันธ์แบบไหนตัวเราเท่านั้นที่จะเลือกได้เพราะเราจะไปต่อที่ข้อ 5 ครับ 555เป็นมิตรเข้าไว้ เพราะศัตรูก็คือมิตร และศัตรูของศัตรูก็คือมิตรเช่นกัน5.ทำอะไรก็ได้ อ่านไม่ผิดหรอกครับเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในมหาวิทยาลัยถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย กฎมหาวิทยาลัย ไม่เดือนร้อนใคร หรือทำให้ตัวเองเดือนร้อน ก็ทำไปเถอะครับ ไหน ๆ ก็เกิดมาแล้วทั้งที่ชีวิตที่เราได้มีอิสระที่อยากจะทำนั้นมันก็ย่อมดีกว่าที่จะถูกใครมาบังคับจริงไหมครับ ดังคำที่หลายคนเคยว่าไว้อิสระไม่ได้พรากอะไรไป เพียงแต่มันอยู่มาแต่แรก มีเพียงคุณที่พรากมันไปขอขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับหวังว่าจะเป็นแนวทางให้ใครหลายคนที่กำลังจะเข้า และเข้ามหาวิทยาลัยครับ ปล.นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นขอขอบคุณรูปภาพจาก : https://pixabay.com/th/ภาพปก, ภาพที่ 1, ภาพที่ 2, ภาพที่ 3, ภาพที่ 4, ภาพที่ 5