หากจะพูดถึงการดูแลรักษาสุขภาพ ก็คงมีมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งการดูแลรักษาสุขภาพนี้อาจเกิดจากภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ หรืออาจเกิดจากการทดลอง งานวิจัย ซึ่งมีนักวิชาการและผู้รู้มากมายออกมาบอกถึงวิธีการดูแลสุขภาพ แต่ทว่าปัญหามันอยู่ที่ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของตนเองนัก ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามความตั้งใจของกระทรวงสาธารณสุข ที่อยากจะให้ประชาชนหันมาดูแลสุขภาพของตนเอง ก่อนที่จะเจ็บป่วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย หากจะมองดูจากสภาพสังคมในปัจจุบัน สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการทำงานเป็นสังคมแห่งความเร่งรีบ ที่จะต้องแข่งกับเวลา ทุกคนต่างต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตนเอง จึงทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปดูแลสุขภาพของตนเอง อีกประการ อาจอยู่ที่วิธีในการดูแลสุขภาพ อาจใช้เวลามากยุ่งยาก และอาจมีค่าใช้จ่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจในการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนในปัจจุบัน ขอบคุณภาพจาก Pixabay ที่มา : https://pixabay.com/images/id-481261/ ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนจึงอยากเสนอวิธีการดูแลสุขภาพที่ง่าย ใช้เวลาไม่มาก ไม่ซับซ้อน ไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกเพศและทุกวัย นั่นคือ "การนั่งสมาธิ" ขอบคุณภาพจาก Pixabay ที่มา : https://pixabay.com/images/id-1894762/ การนั่งสมาธิถือเป็นภูมิปัญญาของพุทธศาสนา ซึ่งสาเหตุที่ผู้เขียนได้ใช้คำว่าภูมิปัญญานั้นเนื่องจากการนั่งสมาธิ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้คิดค้นขึ้นจนได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้นแล้วการนั่งสมาธิจึงถือว่าเป็นภูมิปัญญาของพุทธศาสนาที่มีมาตั้งแต่อดีต พระอริยสงฆ์ หลายรูป ต่างใช้วิธีบำเพ็ญโดยการนั่งสมาธิ และสอนให้พุทธศาสนิกชนนั่งสมาธิเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาคือเข้าสู่ภาวะนิพพาน จากนั้นการนั่งสมาธิก็ถูกถ่ายทอดต่อมา จนมาในยุคหลัง ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับการนั่งสมาธิน้อยลง ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น อาจจะด้วยเรื่องของเวลาและสภาพสังคม จึงทำให้มีการนั่งสมาธิน้อยลงในหมู่พุทธศาสนิกชน จนมาในช่วงหลังนี้ มีกระแสและค่านิยมในการดูแลสุขภาพมากขึ้นในหมู่ประชาชนที่รักสุขภาพ และการนั่งสมาธิเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการดูแลสุขภาพโดยใช้จิต ซึ่งมีนัยยะสำคัญอยู่ที่ "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ซึ่งผู้คนเชื่อว่า หากสภาพจิตใจดี สภาพร่างกายก็จะดีไปด้วย และนั้นทำให้ผู้คนในปัจจุบันทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการนั่งสมาธิมากขึ้น ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่พุทธศาสนิกชน ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่าองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 6 ส.ค. ของทุกปีเป็นวันสมาธิโลก เป็นวันรวมใจของชาวพุทธและชาวโลก ซึ่งขณะนี้การแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะหลายประเทศทางตะวันตกได้นำสมาธิ (Meditation) ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวพุทธไปฝึกปฏิบัติ เช่น สหรัฐอเมริกา พบว่า คนอเมริกันร้อยละ 26 ปฏิบัติสมาธิเป็นเทคนิคช่วยผ่อนคลาย ใช้แก้ไขปัญหาความเครียดและคลายความทุกข์ ส่วนที่แคนาดา มีผลการวิจัยในกลุ่มที่มีประกันสุขภาพในนครควิเบคฝึกสมาธิ 1,418 ราย เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกในจำนวนเท่ากัน พบว่า กลุ่มที่ฝึกสมาธิใช้จำนวนวันของการรักษาลดลงและน้อยกว่า สามารถลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ในการดูแลสุขภาพลงได้ถึงร้อยละ 14 ขอบคุณภาพจาก Pixabay ที่มา : https://pixabay.com/images/id-1851165/ นพ.ณรงค์ ยังได้กล่าวอีกว่า ในทางวิทยาศาสตร์ จิตคือระบบประสาทในสมอง ทำงานด้วยคลื่นไฟฟ้า เป็นตัวกำกับการทำงานของส่วนต่างๆ ให้สมดุล ถ้าระบบประสาทถูกกระตุ้นจนเกินพอดี จะส่งผลต่อร่างกายจนเกิดอันตรายได้ โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenalin) ทำให้การทำงานของอวัยวะและระบบต่างๆ ของร่างกาย ตื่นตัว หัวใจเต้นแรง และเร็วขึ้น ความดันเลือดสูง หลอดลมขยาย ม่านตาขยาย ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หัวใจ ปอดและกล้ามเนื้อขยาย เป็นต้น ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะลดลง และภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลงด้วย หากได้ฝึกสมาธิจะช่วยทำให้จิตสงบ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) หรือสารแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ระบบประสาทสมองทำงานเป็นระเบียบ การทำงานของอวัยวะมีประสิทธิภาพดีขึ้น ขอบคุณ ข้อมูล : กระทรวงสาธารณะ และจากบทความจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) นอกจากนี้ในบทความของ POBPAD ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการนั่งสมาธิไว้ว่า การทำสมาธินอกจากจะเป็นการฝึกฝนจิตใจให้เกิดความสงบสุขแแล้ว ยังมีประโยชน์ในการช่วยบรรเทาโรคหรือภาวะทางร่างกายบางชนิดได้ โดยเฉพาะโรคที่ทรุดลงด้วยความเครียด ซึ่งปัจจุบันก็มีการศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ของการนั่งสมาธิที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกันก็มีนักวิจัยบางคนที่ยังไม่ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับประโยชน์ของการทำสมาธิ แต่อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยบางส่วนพบว่า การทำสมาธิอาจมีส่วนช่วยจัดการกับอาการหรือโรคบางชนิดได้ การทำสมาธิอาจมีส่วนช่วยบรรเทาโรคหรือภาวะต่าง ๆ เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า พฤติกรรมการเสพติด เช่น ติดยา นิโคติน หรือแอลกอฮอล์ บรรเทาความเจ็บปวด อาการร้อนวูบวาบตามร่างกาย (Hot flashes) ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โรคหืด โรคมะเร็ง อาการปวดเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้แปรปรวน ปัญหาการนอนหลับ อาการปวดศีรษะจากความเครียด ขอบคุณภาพจาก Pixabay ที่มา : https://pixabay.com/images/id-2105143/ จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะเห็นว่าการนั่งสมาธินั้นมีประโยชน์มากมาย โดยการนั่งสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งนาน เพียงเริ่มฝึกไปเรื่อย ๆ และบ่อย ๆ ครั้งละ 5 นาทีก็พอ เช่นตอนตื่นนอน 5 นาทีก่อนไปทำอย่างอื่น หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จก่อนจะเริ่มทำงานในช่วงบ่ายก็มาก่อนเวลา 5 นาทีเผื่อมาทำสมาธิกันก่อน และก่อนนอนอีก 5 นาที เฉลี่ยเวลาในการทำสมาธิแค่วันละ 15 นาทีโดยประมาณ แต่หากท่านใดสามารถทำได้มากกว่าก็จะดีมาก การที่เราเสียเวลาไปกับอย่างอื่นก็มีมากลองมาสละเวลาอันมีค่าเพียง 15 นาทีต่อวันเพื่อรับสิ่งที่ดีกว่าและสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการนั่งสมาธินี้นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราแล้ว หากเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมีผลดีผูกพันถึงเรื่องของงบประมาณของรัฐิ ซึ่งหากงบประมาณในส่วนของการรักษาพยาบาลลดลง ก็จะทำให้สามารถนำงบประมาณในส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่จะมีผลดีต่อประเทศชาติในด้านสาธารณสุขต่อไปด้วย นอกจากนี้ยังจะส่งผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมตามมาอีกด้วย ขอบคุณภาพจาก Pixabay ที่มา : https://pixabay.com/images/id-1791113/ ดังนั้นบทความนี้ผู้เขียนจึงอยากจะขอเชิญชวนให้ผู้อ่านทุกท่าน หันมาดูแลสุขภาพด้วยการนั่งสมาธิกันนะครับ แล้วท่านจะรู้ว่าเวลาเพียง 5 นาที ก็มีค่าต่อชีวิต