ก่อนอื่น เราจะมากล่าวถึงเรื่องการบริหารโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ก่อน ซึ่งก็คือการบริหารการจัดการตั้งแต่ซื้อวัตถุดิบ ผลิต จนสินค้าไปถึงมือลูกค้า ซึ่งแตกต่างจากโลจิสติกส์ (Logistic) ตรงที่ โซ่อุปทาน (Supply Chain) มันเป็นกิจกรรม ในขณะที่โลจิสติกส์ เป็นตัวเชื่อมกิจกรรม เพราะฉะนั้นถ้าเรามีกิจกรรมที่ไม่ดี มันเชื่อมอย่างไรก็ไม่ดี เราจะมองที่การเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรธุรกิจ ตลอดโซ่อุปทานแล้วคุณค่าของโซ่อุปทาน (Value Supply Chain) มันคืออะไรคุณค่าของโซ่อุปทาน (Value Supply Chain) มันก็เป็นความแตกต่างของสิ่งที่เราใส่เข้าไปตลอดโซ่อุปทาน (Supply Chain) ไม่ว่าเราจะมีกิจกรรมอะไร มีค่าใช้จ่ายอะไร มีแรงงานอะไร เป็นต้น ซึ่งผลแตกต่างจะเห็นที่ผลลัพธ์ปลายทาง ซึ่งก็คือ ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่เรามีอยู่ซึ่งถ้าเรามองแบบนี้ก็จะย้อนกลับเข้าไปในเรื่องการบริหารทั่วไป ที่เราใช้คำว่าผลิตภาพ (Productivity) ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของอินพุต/เอาต์พุต (Input/Output) แต่สำหรับ อินพุต/เอาต์พุต ของโซ่อุปทานจะต้องมองตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานไม่ใช่มองช่วงใดช่วงหนึ่ง นี่คือความแตกต่างนั่นเองถ้าเป็นคุณค่าของโซ่อุปทาน (Value Supply Chain) ในเชิงของธุรกิจ เราจะวัดที่ความสามารถในการสร้างกำไร (Profitability) ในการบริหารจัดการตลอดโซ่อุปทาน ซึ่งก็คือ เรากำลังมองเรื่องของการสร้างมูลค่าสุดท้ายหรือราคาขายสุดท้ายออกไป กับต้นทุนการดำเนินงานทางโซ่อุปทานต่างๆ โดยที่ผลต่างของมันก็คือกำไรโดยสรุปก็คือ เราจะทำทั้งสองอย่าง คือ ถ้าเราดูในภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรมทั่วๆ ไป คุณค่าของมันก็คือ ผลิตภาพ (Productivity) แต่ในเชิงธุรกิจเราจะมองแค่นั้นไม่ได้ เราจะต้องมองในแง่ของความสามารถในการทำกำไร (Profitability) ด้วยแล้วเราจะทำอย่างไร ในการบริหารโซ่อุปทาน ให้ประสบความสำเร็จ5 ปัจจัย การบริหารโซ่อุปทานในภาคอุตสาหกรรม 1. ปัจจัยการผลิต : เราจะต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าเราจะผลิตอะไร ผลิตทำไม ผลิตเมื่อไหร่ ผลิตให้ใคร ผลิตอย่างไร 2. ปัจจัยเรื่องสินค้าคงคลัง : เราจะเก็บอย่างไร เก็บเท่าไหร่ ซึ่งสิ่งที่เก็บอยู่มันต้องสามารถตอบสนองทั้งฝ่ายการตลาดที่อาจมีการจัดกิจกรรมการตลาดหรือสอดคล้องกับฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องมองเพิ่มในส่วนสินค้าคงคลัง เพราะถ้าเราไม่ทำแบบนี้ ทุกคนอาจจะทำให้สินค้าน้อยๆ เพราะจะได้มีต้นทุนต่ำ แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่สอดคล้องกับฝ่ายตลาด ที่ลูกค้ากำลังต้องการมากแต่ไม่มีของให้ หรือฝ่ายผลิตต้องการผลิตแต่ไม่มีวัตถุดิบเพียงพอ 3. ปัจจัยการขนส่ง : เราจะขนเองหรือจะจ้างเอาท์ซอร์ซ (Outsource) รูปแบบของการขนส่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราจะต้องดู 4. ปัจจัยสถานที่ตั้ง : ต้องดูว่าเราจะตั้งใกล้แหล่งผู้ซื้อ หรือใกล้แหล่งวัตถุดิบ 5. ปัจจัยเรื่องข้อมูลสารสนเทศ : เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เพราะการบริหารโซ่อุปทาน มันเป็นการเชื่อมโยง มันเป็นความร่วมมือกันของกิจกรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นปัจจัยตัวนี้จะทำให้เราตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและทันถ่วงที ซึ่งข้อมูลที่หมายถึงไม่ใช่แค่ข้อมูลที่เรียกว่า ดาต้า (Data) แต่ต้องเป็นข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ มาแล้วให้เป็นสารสนเทศ (Information) มันจึงต้องสร้างระบบฐานข้อมูล เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ และอีกส่วนหนึ่งคือเราต้องสื่อสารกัน เพราะถ้าเรามีข้อมูลแต่เราไม่สามารถสื่อสารทั่วถึงตลอดโซ่อุปทานได้ ก็จะก่อให้เกิดความล้มเหลว ซึ่งข้อมูลที่ดี ทุกคนในองค์กรต้องเข้าใจในบริบทเดียวกัน โดยสรุปก็คือ จากทั้ง 5 ปัจจัยที่ได้กล่าวมานั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดและถือเป็นศูนย์กลางของทั้งหมด คือ ข้อมูลสารสนเทศ (Information) นั่นเอง ในส่วนการตัดสินใจจากข้อมูลที่ได้มาจากปัจจัยทั้ง 5 เราจะมีอยู่ 3 ด้าน1. กลยุทธ์ : โดยที่เราจะต้องออกแบบก่อนว่ามีรูปแบบอย่างไรของโครงสร้างโซ่อุปทานของเรา มีกลยุทธ์อย่างไรในการจัดการโซ่อุปทานของเรา2. วางแผน : โดยการนำรูปแบบ หรือกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ มาในเชิงการปฏิบัติให้ได้ นำนโยบายออกสู่ภาคปฏิบัติ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการตลาดมากขึ้น ขจัดการแปรปรวนของลูกค้าเราได้3. การปฏิบัติการ : อาจจะทำรายสัปดาห์ หรือรายวัน ไม่ว่าจะเป็น การจัดการคำสั่งซื้อของลูกค้า การจัดตารางรถบรรทุกที่จะรับสินค้า การเติมเต็มสินค้าตามความต้องการของลูกค้า เป็นต้น หมายเหตุแหล่งที่มารูป Unsplash.com และ Flaticon.com