30 ปี .. เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากเลยใช่ไหมครับสำหรับการรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่ง มีหลายคนที่อาจรอไม่ไหวเเละชิงถอดใจไปก่อนด้วยซ้ำ บางครอบครัวก็มีสมาชิกที่ล้มหายตายจากไปในระหว่างสามทศวรรษนี้ และในโลกของฟุตบอล ผู้ที่เข้าใจความหมายของการรอคอยร่วม 30 ปีนี้ ก็คงมีเพียงแค่ ‘แฟนบอลลิเวอร์พูล' หรือเหล่า 'เดอะค็อป’ เท่านั้นครับ ความหวังเปรียบดั่งคลื่นทะเลที่พัดเข้าฝั่งลูกแล้วลูกเล่า สุดท้ายก็เหือดแห้งไปบนผืนทราย ทั้งการมาของ เดอะ ก๊อด พระเจ้าเท้าซ้ายของสาวกหงส์แดง ‘ร็อบบี้ ฟาวเลอร์’ , แก๊งสไปซ์บอยส์สุดเท่ห์, 'ไมเคิล โอเว่น' เจ้าหนูเบบี้โกล เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์, ศูนย์หน้าแก้มแดงเลือดกระทิงดุ 'เฟร์นานโด ตอร์เรส', กองหน้าสุดฉาวที่ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ 'หลุยซ์ ซัวเรส', รวมไปถึงตำนานกัปตันทีมหมายเลข 8 ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของลิเวอร์พูลอย่าง 'สตีเฟ่น เจอร์ราด' ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ไม่เคยขาดผู้เล่นระดับโลกดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่อะไรล่ะที่ทำให้พวกเขาไม่เคยได้รับโอกาสในการชูถ้วยพรีเมียร์ลีกขึ้นเหนือหัวเสียที? อาจเป็นเพราะโชค? การลื่นล้มในครั้งนั้น? ความสม่ำเสมอที่มีน้อยเกินไป? หรือจะเป็นคำสาปกันแน่? ‘คงจะมีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้’ จนกระทั่งการมาของ ‘The Normal One’ ชายร่างยักษ์ผู้มีเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ ผู้ที่ประกาศก้องต่อหน้าแฟน ๆ ว่าจะเปลี่ยน ‘เหล่าคนที่เคยคลาแคลงใจ’ ให้กลายมาเป็น ‘ผู้ที่เชื่อมั่น’ ให้จงได้ ณ วันนั้น ‘เจอเก้น คล็อปป์’ ตั้งโจทย์ที่หินที่สุดในชีวิตด้วยการหมายมั่นปั้นมือว่าจะปลุกทีมยักษ์หลับอย่างลิเวอร์พูลให้กลับมาผงาดอีกครั้งในสี่ปีนับตั้งแต่วันที่เขารับงาน แน่นอนว่าน้อยคนนักที่จะเชื่อ โดยเฉพาะการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่เป็นเสมือนเรื่องไกลตัวของลิเวอร์พูลมาตลอด มันจะเป็นไปได้อย่างไร? แน่นอนตอนนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า ‘การรอคอย 30 ปีนั้นมีค่ามากมายเพียงใด’ และนี่คือ 5 ปัจจัยที่ทำให้ลิเวอร์ปลดพันธนาการจากคำสาปและคว้าแชมป์ลีกที่แฟน ๆ รอคอยมานานแสนนานครับ 1. แนวรับที่เป็นมากกว่าแนวรับ ลิเวอร์พูลมักจะเป็นทีมที่เสียประตูง่าย ๆ อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีจุดอ่อนที่ลูกเซ็ตพีซ ไม่ว่าตัวรุกจะยิงได้มากเท่าไหร่ แนวรับของทีมก็จะต้องมีช็อตพลาดแบบน่าเขกกะโหลกอยู่บ่อยครั้ง ที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็นช่วงฤดูกาลสุดท้ายของหลุยส์ ซัวเรส ในฤดูกาลนั้นแนวรุกของทีมอย่าง SAS (ซัวเรส & สเตอร์ริจ) รวมไปถึงคนอื่น ๆ ต่างดาหน้ายิงถล่มคู่แข่งกระจุยกระจายเป็นว่าเล่น จวบจนจบฤดูกาล จำนวนประตูที่ยิงได้แตะหลักร้อยก็ยังไม่เพียงพอ เพราะจำนวนประตูที่เสียร่วม 50 ลูก ทำให้ลิเวอร์พูลไปไม่ถึงฝั่งฝัน สุดท้ายก็พลาดแชมป์ปีนั้นไปอย่างน่าเสียดาย และนี่ก็เป็นต้นเหตุของการทำลายสถิค่าตัวของกองหลังที่แพงที่สุดในโลก (ในเวลานั้น) อย่าง ‘เวอร์จิล ฟาน ไดจ์’ ผู้ที่มาพลิกโฉมแนวรับของลิเวอร์พูลให้กลายเป็นหนึ่งในเเนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดยุโรปทันที ผนวกกับคู่หูเซ็นเตอร์แบ็ควัยหนุ่ม ‘โจ โกเมส’ ผู้มาพร้อมสปีดต้นที่พร้อมปัดกวาดงานจากฟาน ไดจ์ ทำให้เคมีของทั้งคู่ลงตัวกันสุด ๆ ยิ่งมีผู้รักษาประตูจอมหนึบจากแดนแซมบ้าอย่าง ‘อลิสซอน’ เฝ้าอยู่หน้าประตู คู่แข่งก็หมดปัญญาเจาะแล้วล่ะครับ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเเนวรับชุดนี้ เห็นทีจะเป็นการสร้างสรรค์เกมจากแบ็คซ้าย-ขวา ที่หลาย ๆ คนขนานนามให้เป็น ‘เพลย์เมกเกอร์จากแนวรับ’ ใครจะไปคิดว่าแบ็คซ้ายจากทีมตกชั้น จะกลายมาเป็นแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในโลก และเเบ็คขวาที่เติบโตมาจากอคาเดมี่ จะเป็นแบ็คขวาที่มีมูลค่ามากที่สุดในตอนนี้ (99 ล้านปอนด์ อ้างอิงจาก Transfer Market) ด้วยจำนวน 12 แอสซิสต์ที่เป็นการทาบสถิติกองหลังที่แอสซิสต์มากที่สุดใน 1 ฤดูกาลของ ‘เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์’ และหากเจ้าตัวทำได้เพิ่มอีก ก็จะเป็นการยืดสถิติออกไปเรื่อย ๆ โดยมี ‘แอนดี้ โรเบิร์ตสัน’ คอยตามอยู่ห่าง ๆ ด้วยความพิเศษของแบ็คทั้งสองข้าง ทำให้ลิเวอร์พูลมีอาวุธที่หลากหลายมากขึ้น ยากที่คู่แข่งจะรับมือครับ 2. 3 ประสานอันตราย และบทบาท False 9 ของบ๊อบบี้ หากแนวรับดี แต่แนวรุกยิงไม่ได้ เต็มที่ก็คงได้กลับมาแค่ผลเสมอใช่ไหมครับ? นอกจากลิเวอร์พูลจะมีกองหลังระดับโลกแล้ว แนวุกของพวกเขาก็ยังไม่เป็นสองรองใคร ลิเวอร์พูลมี ‘โม ซาลาห์’ และ ‘ซาดิโอ มาเน่’ ประจำการฝั่งขวาและซ้ายคอยล่าตาข่าย โดยมี ‘โรเบอร์โต ฟิมิโน่’ เป็นเหมือนกาวที่คอยเชื่อมทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันในตำเเหน่งของกองหน้าตัวหลอกหรือ ‘False 9’ ที่มีหน้าที่ดึงตัวประกบ จ่ายทำเกมมากกว่าการยิงประตู และสูตรนี้ของคล็อปป์ก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะทั้งมาเน่และซาลาห์ได้กลายมาเป็นเครื่องจักรถล่มประตูไปแล้วเรียบร้อย ส่วนบ๊อบบี้ก็ได้รับคำชมล้มหลามจากแฟน ๆ ในเรื่องของการเล่นเพื่อทีม นับว่าเป็นหนึ่งในสามประสานที่อันตรายที่สุดในยุคปัจจุบันครับ 3. จิตใจที่มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ไม่ใช่ทุกเกมในฤดูกาลนี้จะเป็นเกมที่ Perfect เสมอไป เพราะมีหลายนัดที่ลิเวอร์พูลออกสตาร์ทด้วยการโดนนำไปก่อนด้วยซ้ำ เช่น นัดเยือนแอสตัน วิลล่า, เยือนคู่ปรับตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เปิดบ้านพบนิวคาสเซิล ฯลฯ แต่ด้วยจิตใจและ Passion ของเหล่านักเตะ นำโดย ‘จอร์แดน เฮนเดอร์สัน’ กัปตันทีมผู้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาอย่างโชกโชน ทำให้ทีมสามารถกลับมาได้ทุกครั้ง ประหนึ่งพวกเขาเรียนรู้มาจากบทเรียนในฤดูกาลที่ผ่านมา ที่แม้จะมีแต้มมากมายถึง 97 แต้ม ก็ยังพลาดแชมป์อยู่ดึ ฤดูกาลนี้คล็อปป์จึงตั้งปณิธานไว้ว่า ‘จะไม่ปล่อยให้แต้มหลุดมือไปอีกแม้เเต่เเต้มเดียว’ เพราะหากพวกเขาพลาดเมื่อไหร่ คู่แข่งตัวฉกาจอย่างซิตี้ก็พร้อมแซงเมื่อนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ในฤดูกาลนี้ เหล่าเดอะค็อปจะได้เห็นภาพของการ Come back เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จากเกมที่ควรแพ้ กลายเป็นเสมอ จากเกมที่ควรเสมอกลับกลายเป็นชนะ จะไม่ให้กวาดแต้มได้เป็นกอบเป็นกำก็กระไรอยู่ครับ 4. เสียงเชียร์จากแฟน ๆ ในแอนด์ฟิลด์ ในสนามอื่น ฟุตบอลอาจมีผู้เล่นทีมละ 11 คน แต่ที่แอนฟิลด์ เสียงเชียร์กึกก้องที่คอยปลุกเร้านักเตะเปรียบเสมือนการมีอยู่ของผู้เล่นคนที่ 12 ในสนาม เมื่อยามที่เสียงเพลง You’ll never walk alone ดังขึ้น พลังใจของนักเตะในสนามก็เหมือนถูกเติมให้เต็มและพร้อมที่จะดาหน้าบุกทะลวงตาข่ายต่อไป ความสำคัญของเหล่าพลพรรค The Kop อาจสามารถพิสูจน์ได้โดยการชนะรวด 23 นัดในบ้าน ซึ่งเป็นสถิติของพรีเมียร์ลีกในตอนนี้ แน่นอนว่าชัยชนะในนัดต่อ ๆ ไปก็คือการเพิ่มสถิติให้ตัวเอง และผมมั่นใจว่า หากมนต์ขลังของแอนฟิลด์ยังคงสถิตอยู่ สถิตินี้ก็คงจะถูกยืดออกไปเรื่อย ๆ แน่นอนครับ 5. คล็อปป์ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง อดีตเคยเป็นนักเตะที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร เส้นทางในการเป็นโค้ชในช่วงแรก ๆ ก็กระเสือกกระสน มีการเซ็นสัญญาเพราะจะเอาเงินที่ได้ไปซ่อมเรือให้เพื่อน คุมทีมเข้าชิงแชมป์ก็หลายครั้งแต่ก็เป็นได้แค่พระรอง กลายมาเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกับความล้มเหลวแต่ไม่คุ้นเคยกับการยอมแพ้ ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ เป็นนักสู้ ลักษณะนิสัยของเขาถูกถ่ายทอดลงในสไตล์การเล่นของทีม เคมีที่ตรงกันของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลเป็นแรงผลักดันให้ยักษ์ตัวนี้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลในที่สุด ‘Klopp for Kop’ เห็นไหมว่าเราเกิดมาคู่กันจริง ๆ . . แล้วเจอกันใหม่ฤดูกาลหน้าครับ :) ถ้าทุกคนอ่านจบเเล้วมาร่วมคอมเม้นท์กันครับ เพียงเเค่ร่วมคอมเม้นท์ในหัวข้อ เรื่องราวในวงการฟุตบอลโมเม้นท์ไหนบ้างที่ยังติดอยู่ในความทรงจำของคุณ โดยสามารถคอมเมนต์ในโพสต์ของเพจ Callmepetchy หรือใต้โพสต์ Influencer อย่าลืมระบุชื่อ - นามสกุล อีเมล ในคอมเมนต์ พร้อมกับแชร์บทความนี้และเปิดสาธารณะ ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับ Code Wemall มูลค่า 200 บาท สำหรับชอปปิ้งออนไลน์ ผ่าน Wemall.com ทั้งหมด 3 รางวัล เงื่อนไข - ระยะเวลาในการเข้าร่วมสนุกกิจกรรม คอมเมนต์ ได้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. - 31 ก.ค. 63 เวลา 12.00 น. - สำหรับผู้ที่เข้ามาร่วมกิจกรรม เมื่อเข้ามา comment ใต้บทความแล้วให้ระบุ ชื่อและอีเมล ของคุณที่ต้องการให้ทีมงานส่ง Code Wemall ไปให้ในคอมเมนต์นั้นๆ (ในกรณีที่คุณเป็นผู้ได้รับรางวัล Wemall code ทางทีมงาน TrueID In-Trend จะทำการส่ง Code Wemall ของคุณไปยังอีเมลที่ระบุไว้) - จะทำการประกาศชื่อบุคคลที่ได้รับของรางวัล 3 ชื่อในคอมเมนต์ใต้บทความ ในวันที่ 31 ก.ค. 63 เวลา 18.00 น. - Code Wemall จะถูกทำการส่งไปยังอีเมลของผู้ชนะ 3 ท่านภายใน 7 วันทำการ ภายหลังจากที่ประกาศผู้ที่ได้รับรางวัลลงใน comment ใต้บทความ - ในส่วนของการคัดเลือกผู้ชนะเป็นสิทธิ์ของเจ้าของบทความในการคัดเลือกเท่านั้น ทางทีมงาน TrueID In-Trend ไม่มีส่วนในการคัดเลือกผู้ที่ได้รับของรางวัล Code Wemall แต่อย่างใด ขอขอบคุณภาพจาก sport.trueid.net ภาพที่ 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 /Cover ภาพเจอร์ราด ลิงค์ ร่วมพูดคุยเเละเเบ่งปันประสบการณ์กันได้ที่ Facebook : Callmepetchy IG: Callmepetchy อ่านบทความอื่น ๆ ของ Callmepetchy ได้ ที่นี่ ผลงาน EngagementCampaign ประจำเดือนพฤษภาคมและมิถันายน 2020 รวม 'หนังหักมุม' ที่จะทำให้คุณอึ้งจนตกเก้าอี้ เรื่องไหนคือหนึ่งในใจคุณ #EngagementCampaign หมดโควิดต้องไป 'ฉงชิ่ง' ดินเเดนเเห่งหุบผาสวรรค์ มหัศจรรย์มรดกโลกระดับ 5A #EngagementCampaign