ในวันที่เราประสบความสำเร็จในชีวิต มีเงินมีทองมากมาย มีผู้คนมาคอยนับหน้าถือตามากขึ้น ก็มักจะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ทำเหมือนกับว่าตัวเองมีเรื่องเดือดร้อน โดยเฉพาะ "เรื่องเงิน" แน่นอนว่าคนประเภทนี้มักจะหาเหตุผลหรือข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อมาขอร้องให้เราช่วย แล้วพอเราช่วยไปแล้วสิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมานั่นก็คือ "การถูกเอาเปรียบ" หรือ "การผิดสัญญา" เพราะบางคนเมื่อได้รับเงินจากเราไปแล้วก็ชิ่งหนีหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไร้ร่องรอย มีความสุขใจเมื่อได้เป็นผู้รับ ซึ่งอันนี้มันก็แล้วแต่คนนะ บางคนที่มีจิตสำนึก ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลาก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นคือเราควรที่จะรักษาทรัพย์สินเงินทองของเราเอาไว้ให้ดีเลยจะดีที่สุด ไม่ว่าใครหน้าไหนจะมาดีหรือไม่ดีก็ไม่ควรให้ยืม เงินของเรากว่าจะหามาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ความลำบาก ปัญหาอุปสรรคมากมาย จะมาให้คนอื่นเอาไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ในเนื้อหานี้ผู้เขียนจะมาบอกถึงวิธีปฏิเสธ "คนที่มาขอยืมเงิน" ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียความสัมพันธ์ ที่สำคัญเงินในบัญชีของเราก็อยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ จะมีวิธีไหนกันบ้างค่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ นะครับ แต่ก่อนที่เราจะไปเข้าเนื้อหาหลักของบทความนี้กันนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าลักษณะหลักๆ ที่สำคัญของคนประเภทที่ชอบ "ยืมเงิน" มีเป็นแบบไหนบ้าง ? เพื่อที่เป็นแนวทางในการคอยสังเกตการณ์กับอีกฝ่าย และเตรียมพร้อมรับมือได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งวิธีสังเกตคร่าวๆ เบื้องต้นก็คือ...ตอนที่เขามายืมเงินจากเรา เขามักจะพูดจาด้วยน้ำเสียงดูไพเราะน่าฟังมากก่อน มีครับ / ค่ะเรียบร้อยมาก บอกเล่าเรื่องราวความลำบากให้เราฟัง เพื่อให้เรายอมใจอ่อน ยอมสงสาร แล้วก็ให้เงินไปโดยง่าย แต่เมื่อถึงวันและเวลาที่เราต้องไปทวงเงินที่ยืมไปคืนมา อีกฝ่ายกลับหาข้ออ้างสารพัด คอยบ่ายเบี่ยงประเด็น แสดงท่าทีไม่พอใจ หรือในบางครั้งก็หลบหน้าหนีหายไปดื้อๆ ซะอย่างนั้น หาตัวจับได้ยากมาก เพื่อที่เขาจะได้ไม่คืนเงินให้เรา ตอนยืมน่ะมันง่ายแต่ตอนคืนมันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนยืมนี่นา มันก็ไม่แปลกที่คนเราจะเป็นเช่นนี้กันเยอะ บอกเลยว่าสังคมเราอยู่ยากจริงๆ ที่นี่เรามาดูถึงวิธีการปฏิเสธกันบ้าง ซึ่งผู้เขียนก็ได้รวบรวมมา 5 ข้อด้วยกัน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาดูไปทีละข้อกันครับ 1. บอกตรงๆ ไปเลยว่า "ไม่มีจริงๆ" หรือ "ไม่ให้" : บางครั้งความใจดีของเรามันก็ทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน ไม่ได้หมายความว่าการทำดีมันจะไม่ดีแต่อย่างใดนะ มันเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าใช้ความดีผิดคนจากผลดีมันก็กลายเป็นผลเสียได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครก็แล้วแต่มาขอยืมเงินเรา ก็ให้เรากล้าที่จะปฏิเสธออกไปตรงๆ อาจจะบอกไปว่า "ไม่มี" หรือว่า "ไม่สะดวกให้" ก็ได้ อย่ากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ อย่าไปกังวลว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไงกับเรา แค่เรากล้าพูดว่า "ไม่" คำเดียวทุกอย่างก็จบ แค่นี้เขาก็ไม่มายืมเราอีกต่อไป ถ้าไม่พอใจกันก็ไปหายืมคนอื่นโน้น2. เป็นกฎของที่บ้าน : ขึ้นชื่อว่า "กฎ" แล้วแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว ในข้อนี้ถ้าหากมีคนมาขอยืมเงินจริงๆ ต่อให้อีกฝ่ายจะเดือดร้อนมากแค่ไหนก็ตาม ให้เราอ้างไปว่า "มันเป็นกฎของที่บ้าน เข้มงวดมาก ที่บ้านได้กำชับไว้ สั่งไม่ให้ใครยืมเงิน ถ้าให้เงินใครไปมีหวังโดนตำหนิแน่" วิธีนี้อาจจะพอช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย ยังไงก็ไปลองใช้กันดูนะ3. มีแพลนในอนาคต : การมีแพลนหรือเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรในอนาคตก็ถือเป็นข้ออ้างที่สำคัญที่จะสามารถใช้ปฏิเสธคนที่มาขอยืมเงินเราได้ แถมวิธีนี้เราอาจจะไม่ต้องเสียความสัมพันธ์อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นเรามีเป้าหมายว่าจะพาครอบครัวหรือพาแฟนไปเที่ยวด้วยกัน ไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าเครื่องประดับ รับประทานอาหารนอกบ้าน เราต้องเก็บเงินเอาไว้ใช้ในส่วนนี้ด้วย ถ้าหากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มารบกวนเงินของเราได้ทั้งนั้น 4. ที่บ้านก็เดือดร้อนเหมือนกัน : ถ้าในครั้งต่อๆ ไปอีกฝ่ายยังจะพยายามมาขอเงินอีก ก็ให้บอกไปเลยว่า "ตอนนี้ที่บ้านเองก็มีปัญหาเดือดร้อน มีความจำเป็นต้องใช้เงินเหมือนกันนะ ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ และค่าอื่นๆ อีก" ลองอ้างไปแบบนี้ดูนะ หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเราขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าอีกฝ่ายยังดื้อดึงยังตามตื๊อขอไม่เลิกอีกก็อย่าไปแคร์ ถอยออกมาเลย5. คนที่บ้านป่วยต้องใช้เงิน : ข้อนี้ก็สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นๆ เลยทีเดียว ถ้าคนที่บ้านเกิดล้มป่วยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือวงศาคณาญาติคนอื่นๆ ก็สามารถนำข้อนี้ไปใช้ปฏิเสธได้เช่นกัน แน่นอนว่าคนเหล่านี้ถือเป็นคนที่สำคัญคนหนึ่งในชีวิตเราก็เป็นได้ จะปล่อยให้ต้องเป็นอะไรไปง่ายๆ ได้ยังไงกัน แล้วเชื่อว่าอีกฝ่ายที่มาขอยืมเงินเราก็น่าจะต้องมีเกรงใจหรือสงสารบ้างแหละ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็คงจะไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะ และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีทั้งหมด 5 ข้อที่ผู้เขียนได้นำมาบอกเล่าในบทความนี้ครับ จากประสบการณ์ของผู้เขียนโดยรวมแล้วเคยเจอมาครั้งหนึ่งเหมือนกัน ด้วยความที่ตอนนั้นเราปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็น ไม่ว่าใครก็ตามที่มาขอยืมเงินก็จะให้เขาไปอย่างไม่ลังเล เพียงเพราะเขาได้ให้สัญญาว่าจะคืนให้ภายในวันนั้นๆ แต่พอถึงวันที่เราต้องทวงอีกฝ่ายก็คืนให้นะเพียงแต่คืนให้ไม่ครบ ตอนนั้นเราก็คิดเสียว่าช่างมันเถอะถือว่าทำบุญทำทานไปก็แล้วกัน คงเป็นเพราะความใจดีของเราทำให้คุณค่าในตัวเองต้องลดลง ถูกเอาเปรียบและถูกหลอกมากขึ้น ผู้เขียนก็เลยจดจำเหตุการณ์เหล่านั้นไว้เป็นบทเรียน หลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้ศึกษาถึงวิธีการปฏิเสธคนยืมเงินจากในอินเทอร์เน็ต เพราะว่าในสักวันหนึ่งมันจะต้องมีคนมายืมเงินเราอย่างแน่นอน แล้วมันก็มีจริงๆ เราก็เลยทำการปฏิเสธไปต่างๆ นานา ทั้งอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด บอกออกไปตรงๆ ว่าไม่มีหรือไม่สะดวก ผลลัพธ์ที่ได้คือไม่มีขอยืมเงินเกิดขึ้น แค่เราบอกเขาดีๆ ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ไพเราะ แค่นี้เขาก็เกรงใจเราแล้ว แต่ถ้าเขาไม่เกรงใจก็คงจะมีแค่ทางเดียวคือต้องถอยห่างอย่างเดียว อย่าไปยุ่งด้วยเลย สุดท้ายนี้ก็จะขอฝากผู้อ่านทุกๆ คนว่าเราควรที่จะกล้าปฏิเสธคนให้เป็น แค่คำว่า "ไม่" เพียงคำเดียวก็สามารถเป็นเกราะป้องกันทั้งตัวเองและทรัพย์สินไม่ให้ใครมาเอาไปง่ายๆ ได้ อย่าปล่อยให้ความใจดีหรือความใจอ่อนมาเป็นตัวลดทอนคุณค่าในตัวเอง เงินของเรากว่าจะหามาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ควรเก็บรักษาเงินของตัวเองเอาไว้ให้ดีๆ เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีคุณค่าในตัวของมัน ดังนั้นถ้าเห็นว่าใครมาขอยืมเงินอีกก็จงอย่าเพิ่งรีบใจอ่อนหรือด่วนตัดสินใจให้ไปง่ายๆ เด็ดขาด ลองคิดไตร่ตรองดูให้ดีว่าสมควรให้หรือไม่ ที่สำคัญคือควรมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนเช่นคลิปเสียวหรือวิดีโอ สลีปโอนเงิน หรือสัญญาการกู้ยืมเป็นต้น เผื่อว่าวันไหนอีกฝ่ายเบี้ยวหนี้ไม่ยอมจ่าย เราก็จะได้นำหลักฐานเหล่านี้ไปเอาผิดอีกฝ่ายได้สบายๆ เลย ถ้าหากจำเป็นต้องให้เงินอีกฝ่ายไปจริงๆ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับ เครดิตรูปภาพทั้งหมดจากเว็บไซต์ : Pexels.comภาพหน้าปก : Karolina Grabowskaภาพเนื้อหาที่ 1, 2, 3, 4, 5 : Karolina Grabowska เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !