ในยุคที่เศรษฐกิจซบเซาอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ไวรัสโควิดแพร่ระบาด มีบางคนตกงาน บางคนหาเงินได้น้อยกว่าเดิม วิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือ การหางานใหม่ หารายได้ด้วยวิธีการใหม่ หรือหางานเสริม ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และความพยายาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่าย แต่ก็เป็นภาคบังคับที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด นอกจากการหารายได้เพิ่มแล้ว การประหยัดหรือลดค่าใช้จ่ายเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้เรามีเงินเหลือมากขึ้น ผู้เขียนมีวิธีที่ใช้อยู่เป็นประจำและได้ผลดีมาแนะนำ ผู้อ่านสามารถเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งถ้านำไปใช้หลายข้อรวมกันก็จะช่วยให้มีเงินเหลือหลักพันบาทเลยทีเดียว1. ประหยัดค่าอาหาร การประหยัดค่าอาหารไม่ได้หมายถึง ทานอาหารให้น้อยลงหรือลดจำนวนมื้อที่ทาน แต่เป็นการ "เลือก" แหล่งซื้ออาหารที่ราคาไม่แพง แต่เป็นอาหารที่เราชอบ เชื่อว่าทุกคนชอบอาหารคนละหลายอย่าง ซึ่งมีราคาที่แตกต่างกัน เราแค่เลือกทานอาหารที่เราชอบและราคาไม่แพงให้บ่อยขึ้นเท่านั้นเอง ลองหาเวลาเดินสำรวจแหล่งขายอาหารที่ใกล้กับที่พักและใกล้กับที่ทำงาน ก็เจอจะเจอทางเลือกที่ทำให้เรายังได้ทานอาหารที่อร่อย ถูกปาก ในราคาที่ประหยัดมากขึ้น เมื่อก่อนผู้เขียนเคยซื้ออาหารเช้ามื้อละ 40 บาท อาหารกลางวันมื้อละ 50-60 บาท เมื่อเจอร้านขายกับข้าวถุงละ 25 บาท ข้าวเปล่าถุงละ 5 บาท ทำให้จ่ายมื้อละ 30 บาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อซื้อเผื่อมื้อกลางวันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณวันละ 30-35 บาท ซึ่งเท่ากับเดือนละ 1,000 บาท ข้าวถ้าเราสามารถลดค่าอาหารได้เพียงแค่วันละ 30 บาท ผู้เขียนได้เจอสองร้านที่ขายราคานี้ จึงมีเมนูให้เลือกมากขึ้นและไม่รู้สึกจำเจ2. ประหยัดค่าเครื่องดื่ม หลายคนเคยชินกับการดื่มเครื่องกลุ่มชาและกาแฟทุกวัน ซึ่งที่จริงแล้วอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะคนที่ชอบรสชาติหวานมากๆ ถ้าสามารถลดความถี่ในการดื่มเป็นวันเว้นวันได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เชื่อว่าหลายคนคงอดใจไม่ไหวและรู้สึกว่าความสุขในชีวิตหายไป สิ่งที่ทำได้อย่างแรกคือ ลดปริมาณ บางร้านมีแก้วหลายขนาด ให้เลือกดื่มแก้วเล็ก เพื่อให้รู้สึกว่าเรายังได้ดื่มเครื่องดื่มที่ชอบเหมือนเดิม แค่ลดปริมาณลงเท่านั้นเอง และมีอีกวิธีหนึ่งคือ ชงเครื่องดื่มเอง ซึ่งเราสามารถกำหนดปริมาณความหวานหรือน้ำตาลที่ใส่ได้ด้วย เมื่อก่อนผู้เขียนซื้อชานมไข่มุกหรือชาไทยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 แก้ว คิดเป็นเงิน 100 บาท/สัปดาห์ พอเปลี่ยนมาเป็นชงเครื่องดื่มของที่ทำงานแล้วนำไปแช่ให้แข็งเล็กน้อย ทำให้ค่าเครื่องดื่มเป็น 0 บาท ช่วยให้ประหยัดได้เดือนละ 360 บาท3. ประหยัดค่าเดินทาง หากเป็นคนที่จำเป็นต้องขับรถยนต์ไปทำงานทำวัน ก็อาจจะลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ยาก แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวตลอด อาจจะเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์หรือรถสาธารณะในบางวัน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า เรือ เป็นต้น ถ้าต้องนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างเป็นประจำ ลองดูว่าระยะทางไกลหรือไม่ หากไม่ไกลมากเกินไปก็เปลี่ยนมาเป็นการเดินแทน ผู้เขียนเดินทางด้วยรถสาธารณะอยู่แล้ว และมักจะเลือกเดินทางไปทำงานด้วยรถสองแถวซึ่งมีค่าบริการเที่ยวละ 8 บาท และจะนั่งรถเมล์ปรับอากาศเฉพาะที่จำเป็น ซึ่งค่าบริการคิดตามระยะทางอยู่ที่ 13-17 บาท4. ประหยัดค่าเสื้อผ้า ทุกคนสามารถสวมเสื้อผ้าได้ครั้งละชุดเท่านั้น การมีจำนวนเสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก ถ้ากลัวคนมองว่าใส่เสื้อผ้าซ้ำบ่อยๆ อาจเปลี่ยนแนวมาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เป็นสีล้วน ไม่มีลวดลาย หรืออาจเป็นสีขาว เทา ดำ แล้วใช้วิธี mix & match จับคู่สลับเสื้อกับกางเกงหรือกระโปรง ก็จะกลายเป็นสไตล์การแต่งตัวแนวใหม่ของเราที่ไม่มีใครสังเกตว่าเราใส่ซ้ำหรือไม่ เพราะคนจะคิดว่าเรามีเสื้อผ้าหลายตัวที่เหมือนกัน บริษัทของผู้เขียนมียูนิฟอร์มให้ จึงไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงาน ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนใหญ่อยู่บ้านกับครอบครัวจึงใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ ได้ ส่วนเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปข้างนอกก็มีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ในแต่ละปีผู้เขียนใช้เงินซื้อเสื้อผ้าเพียงปีละประมาณ 2,000 บาท5. ประหยัดค่าโทรศัพท์ ค่าโทรศัพท์เป็นสิ่งที่ต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าเราประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ก็จะมีเงินเหลือสม่ำเสมอทุกเดือน ผู้ให้บริการโทรศัพท์มีหลายค่ายและมีแพ็กเกจค่าโทรศัพท์และค่าอินเทอร์เน็ตให้เลือกมากมาย หลายคนไม่เคยเช็กเลยว่าตัวเองใช้แพ็กเกจปัจจุบันอย่างคุ้มค่าหรือไม่ ขอแนะนำให้เช็กปริมาณการใช้งานทั้งปริมาณการโทรและปริมาณอินเทอร์เน็ตว่าเราใช้เท่าไหร่ในแต่ละเดือน เปรียบเทียบราคาของแต่ละค่าย แล้วเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน อาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้หลายร้อยบาทต่อเดือนในระยะยาว ถ้าไม่ติดสัญญาระยะเวลาการใช้งาน ควรจะติดตามราคาของแต่ละค่ายเป็นระยะ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่จะเข้าร่วมโปรโมชั่นพิเศษเพื่อลดค่าใช้จ่าย ล่าสุดผู้เขียนได้เปลี่ยนจากแพ็จเกจโทรไม่จำกัด อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไม่จำกัด ซึ่งต้องจ่ายเดือนละ 800 กว่าบาท เป็นแพ็กเกจที่มีการจำกัดชั่วโมงการโทรและปริมาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งผู้เขียนได้เช็กปริมาณการใช้งานของตัวเองแล้วว่าสามารถควบคุมให้ไม่เกินแพ็กเกจนี้ได้ ทำให้ค่าโทรศัพท์ลดเหลือเดือนละ 300 กว่าบาท ช่วยให้ประหยัดได้เดือนละ 500 บาทการทำอะไรที่ฝืนใจตัวเองมากเกินไป เราจะทำได้ไม่นาน วิธีประหยัด 5 ข้อที่แนะนำมาข้างต้น อาจมีบางข้อที่ไม่เหมาะกับบางคน ดังนั้นควรเลือกข้อที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อจะได้ทำได้อย่างต่อเนื่องและมีเงินเหลือสำหรับการออมหรือนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นจริงๆเครดิตภาพภาพปก: Olya Adamovich / Pixabayภาพประกอบ 1: Dow / Pixabay ภาพประกอบ 2: Bruno /Germany / Pixabay ภาพประกอบ 3: Claudio Bianchi / Pixabay ภาพประกอบ 4: congerdesign / Pixabay ภาพประกอบ 5: Jan Vašek / Pixabay อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !