5 สายพันธ์ุพืชกินแมลงยอดฮิตวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก5สายพันธุ์ต้นไม้ ที่เรียกกันว่า "พืชกินแมลง" มีอะไรบ้างและวิธีการกินแมลงของแต่ละสายพันธุ์มีความน่าสนใจตรงไหนเพื่อใครหลายๆคนชื่นชอบและสนใจที่สำคัญยังมีความงามสวยไม้ไม่แพ้ต้นไม้สายพันธุ์อื่นๆเลย เรามาดูกันเลยว่ามีสายพันธุ์อะไรกันบ้าง1.ซาราซีเนีย( Sarracenia)ซาราซีเนีย เป็นพืชกินแมลง ที่ได้รับฉายาว่าเป็น ราชินีแห่งต้นไม้กินแมลง แถมยังมีความสวยงามและดักจับแมลงได้ดีมาก ถิ่นกำเนิดของซาราซีเนียจะอยู่แถบชายฝั่งทะเลตะวันออก ของรัฐเท็กซัส บริเวณเกรตเลกส์ และตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศแคนาดา และสายพันธุ์อื่นๆส่วนใหญ่จะอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาใบของซาราซีเนียตั้งตรงเป็นรูปกรวยคล้ายฝา ตรงปลายใบบานออก ด้านในของกรวยนั้นประกอบด้วยน้ำหวานที่ใช้ในการล่อแมลงและขนเพื่อเป็นกับดัก และเมื่อแมงถูกย่อยแล้วจะดูดสารอาหารไปเลี้ยงลำต้นการเลี้ยงดูซาราซีเนีย1. ซาราซีเนียบางสายพันธุ์ ไม่ชอบน้ำมากนัก อาจใช้การวางกระถางบนพื้นทรายชุ่มน้ำ หรือใช้การรดน้ำต้นไม้ปกติก็ได้2. ซาราซีเนียชอบแสงแดด ต้องการแสงโดยตรงอย่างน้อยวันละ 4 ช.ม. หากแดดจัดควรวางใต้สแลนกรองแสงเหลือ 10%-20% ก็เพียงพอแล้วหรือวางในที่ร่มรำไร 2.หม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes)หม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นพืชกินแมลงประเภทหนึ่งที่ มีมากกว่า 160 ชนิด และลูกผสมอีกมากมาย พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนชื้น ตั้งแต่ตอนใต้ของจีน อินโดนิเซีย มาเลเซีย มักพบขึ้นตามที่ลุ่มแต่ในระยะหลังหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดใหม่ ๆ มักพบตามภูเขาซึ่งมีอากาศร้อนตอนกลางวันและหนาวเย็นตอนกลางคืนกลวิธีในการหลอกล่อเหยื่อให้ตกลงไปในถุงดักแมลง โดยถุงดักแมลงมีสีสันสวยงามและมีต่อมน้ำหวานที่บริเวณฝาของถุงดักแมลง ซึ่งต่อมน้ำหวานนี้จะกระจายอยู่ทั่วบริเวณของฝาปิดถุงดักแมลง เพื่อดึงดูดเหยื่อหรือแมลง และนอกจากนี้บริเวณขอบปากของถุงดักแมลงยังมีลักษณะเป็นซี่(คลื่น) ซึ่งมีสารคิวทินเคลือบอยู่ ทำให้มีลักษณะลื่น ดังนั้นเมื่อเหยื่อที่มาดูดน้ำหวานเกาะที่บริเวณขอบปากของถุงดักแมลงมีโอกาสจะลื่นตกลงไปในถุงดักแมลง หรือบินเข้าไปผ่านในถุงดุกแมลงจะถูกย่อยสลายด้วยน้ำย่อยที่อยู่ภายในถุงดักแมลงการเลี้ยงดูหม้อข้าวหม้อแกงลิง1.หม้อข้าวหม้อแกงลิงจะออกหม้อและเติบโตจะต้องอาศัยแสง ที่อยู้ระหว่าง50-80เปอร์เซ็นและควรได้รับแสงไม่น้อยกว่า5ชั่วโมงต่อวันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงด้วย2.ความชื้นในการเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงต้องมีความสัมพันธ์กับความชิ้นในอากาศมากกว่า50เปอร์เซ็นแต่ต้องไม่ถึงกับแฉะเพราะอาจจะทำให้รากเน่าแล้วตายได้ 3.กาบหอยแครง( Venus flytraps)กาบหอยแครง เป็นพืชกินแมลงมีถิ่นกำเนิดบริเวณที่ราบชายฝั่งทะเลประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก ทรงพุ่มเตี้ย มีเหง้าลักษณะคล้ายหัว ใบมีสีเขียวและสีแดงฉูดฉาด ใช้ล่อแมลงให้มาติดกับดัก อยู่เป็นกระจุกรอบเหง้า ประมาณ 4-8 ใบ ยาวประมาณ 3-10 เซนติเมตร มีกาบแบบกลมเป็นแผ่นสองแผ่น คล้ายกาบหอยคู่ มีฟันเลื่อยแหลมคม เรียงสลับกันเป็นระเบียบลักษณะเหมือนขนตา มีเส้นกลางใบทำหน้าที่เป็นบานพับ ก้านใบสีเขียวเป็นแผ่นแผ่กว้าง พบมากในบริเวณที่มีความชื้นสูง หรือบริเวณที่มีแอ่งน้ำท่วมขังกลไกในใบของต้นกาบหอยแครงจะมีขนกระตุ้น เมื่อมีแมลงมาสัมผัสขน และได้รับการกระตุ้นมากว่า 1 ครั้งติดต่อกันในระยะเวลาสั้นๆ ใบทั้งสองจะหุบเข้าหากันทันที เรียกว่าเป็นกับดักแบบตะครุบ เพื่อจับและย่อยเหยื่อ โดยปกติจะใช้เวลาย่อยประมาณ 3-10 วัน ทั้งนี้ขนดังกล่าวจะตอบสนองต่อสิ่งที่เคลื่อนไหวได้เท่านั้น เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงานไปกับการดักจับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อาหารการเลี้ยงดูกาบหอยแครง1.กาบหอยแครง แสงแดดจำเป็นต่อการเจริญเติบโตคือต้องได้รับแสงเต็มที่ทั้งวันและควรเป็นแสงตรงไม่ควรกรองหรือขั้นต่ำไม่น้อยกว่า6ชั่วโมงต่อวัน2.กาบหอยแครง ควรให้น้ำด้วยระบบจานรอง อย่าให้เครื่องปลูกแห้งโดยเด็ดขาดแต่อย่าให้แฉะเพราะกาบหอยแครงนั้น รากเน่าง่าย วิธีการก็คือเมื่อน้ำหมดจานรองค่อยเติมเพื่อป้องกันการตายของต้นไม้ด้วย 4.พิงกุย (Pinguicula) พิงกุย หรือบัตเตอร์เวิร์ต (Butterwort) เป็นพืชกินแมลงที่รับฉายา สวยเพชฌฆาต มีถิ่นกำเนิดกระจายตัวอยู่หลายส่วนในโลก ตั้งแต่เขตหนาวจัดทางตอนเหนือเกือบถึงขั้วโลก ไล่ลงมาทางยุโรป ทะเลทรายไซบีเรีย อเมริกาเหนือหรือแม้กระทั่งแถบร้อนอย่างเม็กซิโก ไปจนถึงอเมริกาใต้พิงกุยจะมีขนใสๆ ที่สามารถผลิตกาวเหนียวดักแมลงได้ และมันยังมีต่อมบนผิวใบที่ช่วยในการจับแมลงโดยปกติต่อมนี้จะแห้ง แต่เมื่อพิงกุยจับแมลงได้ต่อมเหล่านี้จะสร้างกรดและเอ็นไซม์หรือน้ำย่อยออกมาละลายแมลงจนหมดสิ้น และขณะเดียวกันก็ดูดซับเอาสารอาหารที่อยู่ในสภาพเป็นของเหลว ย้อนกลับเข้าไปไว้ในใบ การเลี้ยงดูพิงกุย1.พิงกุย เป็นไม้อวบน้ำใบเล็กๆในหน้าหนาวก็รักษาเครื่องปลูกให้แห้ง ให้ความชื้นเล็กน้อยเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่อย่าให้เครื่องปลูกแฉะจนเกินไปอาจจะทำให้เกิดรากเน่าและต้นไม้ตายได้2.ห้ามรดน้ำโดนใบ เพราะใบของพิงกุยจะเน่าได้ง่าย ส่วนปุ๋ยควรใส่ปุ๋ยแบบเจือจางมาก 5.หยาดน้ำค้าง (Sundew)หยาดน้ำค้าง เป็นพืชกินแมลงที่มีสายพันธุ์หลากหลายมากที่สุดในปัจจุบัน มันกระจายตัวอยู่ทั่วโลก ตั้งแต่บริเวณขั้วโลกที่หนาวเย็น จนถึงทะเลทรายร้อนระอุในออสเตรเลีย กลไลของหยดน้ำค้างจะมี หยดน้ำเหนียวๆ จำนวนมากที่หยาดน้ำค้างสร้างไว้บนผิวใบ เมื่อต้องแสงแดด จะแลดูสดใสแพรวพราว ล่อแมลงให้เข้ามาเกาะดูดกินเพราะนึกว่าเป็นน้ำค้างบนยอดหญ้า ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้กลิ่นหอมเหมือนน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ เมื่อขาสัมผัสใบหยาดน้ำค้าง มันจึงรู้ตัวว่าสายเกินไปแล้ว น้ำใสที่ต่อม trichomes ผลิตขึ้นมา แท้ที่จริงเหนียวคล้ายกาว สามารถยึดแมลงไว้ไม่ให้ดิ้นหลุด และยิ่งแมลงดิ้นมากเท่าไร แรงดิ้นจะกระตุ้นให้ trichomes อีกส่วนหนึ่งเร่งสร้างน้ำย่อยออกมา ขณะเดียวกันใบของหยาดน้ำค้างก็จะค่อยๆ โอบม้วนเข้าหากัน ห่อแมลงไว้จนมิด รอเวลาให้น้ำย่อยทำงานร่างแมลงจะค่อยๆ ถูกย่อยสลายกลายเป็นอาหาร ให้หยาดน้ำค้างดูดซึมเข้าไป ใช้ประโยชน์การเลี้ยงดูหยาดน้ำค้าง1.หยาดน้ำค้าง ควรให้ น้ำวางบนจานรอง มีน้ำหล่อเล็กน้อย สูงประมาณ 1 นิ้ว ขึ้นอยู่กับความสูงของกระถางที่ใช้ปลูก2.หยาดน้ำค้าง ควรให้แสงปลูกกลางแดด ได้แสงตรงอย่างน้อยวันละ 4 ชั่วโมง และเว้นแสงตอนเที่ยง รวมแล้วไม่ควรต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ถ้าหยาดน้ำค้างได้แสงแดดไม่เพียงพอ มันจะไม่สร้างน้ำค้าง ไม่ออกสี และค่อยๆ ฝ่อหายไปในที่สุด Cr.รูปภาพปก:Mezzoขอบคุณภาพประกอบจากค่าย:pixabay/ภาพประกอบที่1/ภาพประกอบที่2/ภาพประกอบที่3/ภาพประกอบที่4/ภาพประกอบที่5