สมัยนี้การเริ่มต้นขายของออนไลน์นั้นเป็นอะไรที่ง่ายมาก ๆ เลย เพราะมีข้อมูล เครื่องมือต่าง และองค์ความรู้จากคนที่มีประสบการณ์พร้อมจะมาแชร์และแบ่งปันความรู้ให้กันแบบฟรี ๆ กันมากมาย ซึ่งวันนี้หากเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่อยากจะเริ่มต้นขายของออนไลน์แต่ไม่มีเงินลงทุนและไม่รู้จะเริ่มอย่างไร วันนี้เรามี 5 แหล่งแนะนำสำหรับคนที่เริ่มต้นขายของออนไลน์แบบไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาฝากกันคะขายของออนไลน์แบบไหนที่เริ่มต้นได้เลยแบบไม่ต้องใช้เงินลงทุน จากกประสบการณ์ที่เราเห็นในตลาดเมืองไทยตอนนี้ รวมถึงที่เราก็ทำอยู่ด้วยจะมี 2 แบบคือ1. Dropship คือการติดต่อกับร้านค้าที่มีสินค้าต่าง ๆ ที่เราสนใจอยากจะเอาไปขาย โดยสามาระเอารูปสินค้า รายละเอียดสินค้าจากร้านนั้น ๆ ไปโพสต์ขายได้เลย เมื่อขายได้จึงค่อยให้โอนเงินให้ทางร้านจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าเองโดยตรง ซึ่งข้อดีคือ เราสามารถทำได้ทันที เพียงแค่มีเวลาในการโพสต์ลงสินค้าให้มากเท่านั้นเอง และไม่ต้องมาปวดหัวเรื่องการแพคของ และการจัดการสต็อกอีกด้วย2. Flip จะคล้าย ๆ กับการ dropship แต่แตกต่างตรงที่ เราอาจจะต้องให้ทางร้านที่เราต้องการเอาสินค้ามาขายส่งมาให้เราก่อน แล้วเราค่อยส่งต่อให้ลูกค้าอีกที หรือหากเราสนิทกับทางร้านมากพอก็สามารถให้ทางร้านช่วยส่งให้ลูกค้าแทนเราโดยตรงเลยก็ได้ ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้แทบจะไม่ต้องใช้เงินในการเริ่มต้นทำเลย รอแค่มีออเดอร์ให้ลูกค้าโอนก่อน หรือเรามีเงินส่วนหนึ่งไปซื้อสินค้าแล้วจึงค่อยรับเงินจากลูกค้ามาอีกทีก็ได้ 5 แหล่งขายสินค้าหลัก ๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินในการเริ่มต้นขายของออนไลน์ เครดิตภาพ กุลธิดา แสงงามผู้เขียน 1. Shopeeเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสที่รวมของถูกคุณภาพดีไว้อย่างมากมาย และเราเองก็มักจะเลือกสินค้าจากที่นี้มาขายแบบ Flip เช่นเดียวกัน เพราะสินค้ามักจะมีคุณภาพดีและราคาถูก รวมถึงเราก็ยังขายของออนไลน์ใน Shopee ด้วยเช่นเดียวกัน ข้อดีของเว็บนี้ก็คือ เมื่อลูกค้าได้รับสินค้าแล้วกดรับสินค้าให้เราแล้ว เงินจะเข้ามาในระบบทันที ซึ่งเราสามารถกดโอนเงินมาที่บัญชีธนาคารของเราได้เลย จะได้รับเงินในวันถัดไปทันที จึงค่อนข้างตอบโจทย์แม่ค้าออนไลน์ที่ต้องการกระแสเงินสดได้ดีที่มา https://shopee.co.th/ เครดิตภาพ กุลธิดา แสงงามผู้เขียน 2. Lazadaมาร์เก็ตเพลสที่เราเริ่มต้นขายของออนไลน์เป็นที่แรก และยังคงขายอยู่ในตอนนี้ ข้อดีของ Lazada คือความค่อนข้างเป็นระบบในเรื่องการจัดการหลังบ้าน และมีการพัฒนาปรับปรุงระบบอยู่เสมอ อีกทั้งเครื่องมือในการช่วยโปรโมทร้านก็มีเยอะมาก ๆ ทั้ง สร้างคูปอง ร่วมแคมเปญ สร้างสินค้าแนะนำ และอีกมากมาย ถือเป็นอีก 1 แพลตฟอร์มที่เราว่าคนขายของออนไลน์ไม่ควรพลาดกันเลยค่ะที่มา https://www.lazada.co.th/ เครดิตภาพ กุลธิดา แสงงามผู้เขียน 3. Facebook Marketplaceเริ่มเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับกลุ่มคนขายของออนไลน์ที่ชื่นชอบการใช้เครื่องมือฟรี ๆ ของFacebook ซึ่งก็คือ Marketplace นี้นั้นเอง ซึ่งจุดเด่นคือเราสามารถโพสต์ขายสินค้าเป็นรายจังหวัดตามความสนใจได้ ว่าจังหวัดไหนมีความสนใจสินค้าของเราเยอะที่สุด เพราะจะเพิ่มโอกาสในการขายได้ดี อีกทั้งยังฟรีอีกด้วย เพราะFacebook ตั้งใจให้คนขายออนไลน์ได้มาใช้ในการขายของกันที่มา https://www.facebook.com/marketplace เครดิตภาพ กุลธิดา แสงงามผู้เขียน 4. Instagramกลุ่มลูกค้าที่ชอบของสวย ๆ งาม ถ่ายภาพสวย ๆ ก็ไม่ควรพลาดที่จะเอางานสวย ๆ สินค้าดี ๆ ไปโพสต์ขายที่ไอจี เพราะจะเห็นว่าร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ๆ ก็มักจะมีไอจีเพื่อสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูงและเป็นวัยทำงานอีกด้วย แต่ข้อควรพิจารณาคือ รูปภาพและสินค้าที่ขายในไอจีภาพจะต้องสวยสะดุดตา จึงจะเหมาะกับการไปขายในไอจี เช่นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เครดิตภาพ กุลธิดา แสงงามผู้เขียน 5. Kaidee.comตลาดขายสินค้าสไตล์ง่าย ๆ ที่เน้นให้คนขายที่อยากขายของที่ตัวเองไม่ได้ใช้แล้ว ของมือสอง หรือแม้กระทั่งของมือ 1 ไปโพสต์ขายกันได้เช่นเดียวกัน และสินค้าก็จะแตกต่างจากทั้ง 2 มาร์เก็ตเพลสใหญ่ ๆ อย่าง Shopee และ Lazada อยู่บ้าง ตรงที่จะเน้นขายของชิ้นใหญ่ เช่นมอเตอร์ไซค์บ้าน และพืชผลทางการเกษตร แม้จะไม่ได้มีการตลาดเพื่อโปรโมทเว็บไซต์มากนัก แต่มาร์เก็ตเพลสอย่าง Kaidee.com ก็เป็นตลาดที่คนขายออนไลน์ไม่ควรพลาดในการเริ่มต้นขายของออนไลน์เช่นเดียวกันที่มา https://www.kaidee.com/ เราว่าในยุคแบบนี้ การมีรายได้เพียงแค่ช่องทางเดียวอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตบ้าง การมีกระแสเงินสดสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องพิจารณา และจะดีกว่าหากเรามีแหล่งรายได้ที่ 2,3,4….. เพื่อทำให้เรามีกระแสเงินสดแบบไม่ต้องกังวลกับเรื่องต่าง ๆ ที่จะเกิดในอนาคตด้วย ภาพถ่ายโดย bongkarn thanyakij จาก Pexels