"จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี" เริ่มฉายมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ทางไทยพีบีเอส และทำให้ผมรู้สึกประทับใจทั้งเนื้อเรื่อง การแสดง รวมถึงฉากที่ต้องสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถเดินทางเข้าไปถ่ายทำในสถานที่จริงในเมียนมาได้เรื่องย่อคือ นางเอกได้ย้อนเวลากลับไป พ.ศ.2325 ที่ชุมชนของเชลยอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปกรุงอังวะหลังจากการเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 และได้มีโอกาสเป็นนางละครในคณะละครหลวงของพม่า โดยจะตัดฉากไปมากับโลกปัจจุบันที่เธอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชฟในโรงเรียนสอนทำอาหารในย่างกุ้ง มาชมฉากประทับใจทั้งหกกันเลยนะครับฉากที่ 1 อูทเวฉ่วยร้องไห้กับโมฮิงก่าhttps://www.youtube.com/watch?v=4aqt_EVZYIIโมฮิงก่า เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า แต่ก็ต้องกล่าวตรงไปตรงมาว่าเป็นอาหารของคนที่ไม่ค่อยมีเงินนัก มีขายตามฟุตบาธ และร้านอาหารเช้า (คาเฟ่) แต่ไม่ค่อยพบในภัตตาคาร ถ้าเทียบกับไทย หน้าตาคล้ายกับขนมจีนน้ำยา แต่ฐานะอาจจะเทียบเท่าก๋วยเตี๋ยว คือมีขายทั่วไป ราคาไม่แพงในเรื่องนี้ อูทเวฉ่วย (U Htwe Shwe) มหาเศรษฐีที่กำลังจะสั่งปิดโรงเรียนสอนทำอาหารของพระเอก (เชฟปกรณ์ แสดงโดย คุณจิรายุ ตันตระกูล) จึงสั่งโมฮิงก่ามาทาน ซึ่งทั้งเชฟและนักเรียนทำมาให้ลองหลายแบบแล้ว ก็ไม่พอใจสักแบบ จนพระเอกกับนางเอก (นุชนาฏ แสดงโดย คุณณัฐรุจี วิศวนารถ)ได้พบว่า อูทเวฉ่วยเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน จึงเดินทางไปที่เมืองพยาปง เพื่อตามหาโมฮิงก่าสูตร "วิญญาณปลา" ที่มีส่วนผสมแค่ไม่กี่อย่าง ตามแบบฉบับอาหารยาจก ที่ทำไว้เลี้ยงเด็กกำพร้าที่นั่น และนำมาทำเสิร์ฟ จนทำให้อูทเวฉ่วยชิมไปแค่ช้อนเดียวก็ถึงกับทิ้งช้อน วิ่งไปร้องไห้ในห้องน้ำ เพราะคิดถึงอดีตทันทีฉากนี้ผมให้เครดิตนักแสดง (คุณโกวิท วัฒนกุล) ที่แสดงฉากชิมโมฮิงก่า หน้าย่น ทิ้งช้อน และน้ำตาคลอเบ้าแบบได้อารมณ์ไปเต็มๆฉากที่ 2 เจ้าฟ้ากุณฑลทรงไม่อนุญาตให้แปลอิเหนาเป็นภาษาพม่าhttps://www.youtube.com/watch?v=KRw_1NcNgHQเจ้าฟ้ากุณฑล (แสดงโดย คุณเพ็ญพักตร์ ศิริกุล) ได้เห็นความสามารถของปิ่น (นางเอกในโลกอดีต) ในการรำ และอนุญาตให้ไปช่วยงานที่โรงละครหลวง แต่เมื่อหม่องสะ (แสดงโดย Mr.Daung อ่านว่า ดาวง์ หรือ ดอง ก็ได้) ขออนุญาตแปลบทพระนิพนธ์เรื่องอิเหนาเป็นภาษาพม่า เจ้าฟ้ากุณฑลกลับทรงปฏิเสธเสียงแข็ง ด้วยความรักและหวงแหนศิลปะของอยุธยา ไม่ยอมให้ใครนำไปแปลหรือดัดแปลง และไม่ยอมให้ข้ารับใช้ที่ไม่มียศศักดิ์อย่างปิ่นได้แสดงเป็นบุษบา ซึ่งเป็นนางเอกในเรื่องอิเหนาละครเรื่องนี้ได้ถ่ายทอด "ความเป็นศิลปิน" ในหลายๆมุมมอง โดยฉากนี้แสดงถึงอารมณ์ของศิลปินที่มีความหวงแหนในผลงานของตน ฉากที่ 3 ศิลปินไม่ใช่หัวขโมยhttps://www.youtube.com/watch?v=p1Rnpk4bfBEตอนที่คณะละครหลวงได้ทดลองแสดงอิเหนาเวอร์ชันพม่า ต่อพระพักตร์ของเจ้าฟ้ากุณฑล และเจ้าฟ้ามงกุฎ แต่ยังแสดงไม่จบ เจ้าฟ้ากุณฑลก็ทรงลุกจากที่นั่ง ทำให้คณะละครเกิดความกังวลว่าถ้าทรงไม่อนุญาต ก็จะนำออกแสดงไม่ได้ อูโตได้อธิบายกับชาวคณะว่า การเป็นศิลปินที่นำผลงานคนอื่นมาดัดแปลงนั้น ต้องทำด้วยความเคารพ ระมัดระวังและทำให้ดีกว่าเดิม อย่าให้ต้นฉบับเสียหาย และถ้าเจ้าของผลงานไม่อนุญาต เราก็ไม่สามารถนำมาแสดงได้ เพราะเราคือศิลปิน ไม่ใช่หัวขโมยฉากนี้ถ่ายทอดความเป็นศิลปินอีกข้อหนึ่ง ในการเคารพลิขสิทธิ์ ของเจ้าของผลงานเดิมฉากที่ 4 รำบุษบาเสี่ยงเทียนhttps://www.youtube.com/watch?v=Zqz7xRXcvjIฉากนี้ ผมไม่มีคำอธิบายมากนัก แต่น่าจะเป็นฉากนาฏลีลาที่งดงามและอ่อนช้อยที่สุดในเรื่อง และยังถ่ายทอดอารมณ์รักกับเกลียดที่ขัดแย้งกันของบุษบาได้อย่างคมคาย เป็นการแสดงของปิ่นกับหม่องสะ ต่อพระพักตร์พระเจ้าปดุงและเหล่าเสนาอำมาตย์ในการฉลองชัยเมื่อกลับจากศึกอาระกัน ผมเพียงแค่นึกเสียดายว่า ถ้ามีความรู้ด้านภาษา และนาฏศิลป์ของทั้งไทยและพม่ามากกว่านี้ คงสามารถเสพศิลปะชิ้นนี้ได้ลึกซึ้งกว่านี้ฉากที่ 5 อภิปรายความหมายของศิลปะhttps://www.youtube.com/watch?v=kM9Ec4oNhnwพระมหาอุปราชชเวต่าวมิน อยากให้อูโตปรับแก้บทละคร เพื่อสร้างความสามัคคีและฮึกเหิมของกองทัพ เพราะมองว่าศิลปะที่ดีจะต้องช่วยงานบ้านเมือง แต่นางปิ่นค้านว่า ศิลปะใช้เพื่อกล่อมเกลาจิตใจคน โดยมีคุณธรรมเป็นที่ตั้งฉากนี้ไม่ได้น่าประทับใจในเชิงอารมณ์การแสดง แต่น่าประทับใจในแง่เนื้อหา การที่พระมหาอุปราชทรงชุบเลี้ยงศิลปินคณะละครหลวงไว้ นัยหนึ่งก็เพื่อทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม แต่อีกนัยหนึ่งถ้าช่วยบ้านเมืองได้ ก็ยิ่งคุ้มค่าที่ทรงชุบเลี้ยง แต่มุมมองของศิลปิน ก็อยากจะทำศิลปะให้บริสุทธิ์ มากกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ดูฉากนี้จบแล้วก็คิดต่อว่า แท้จริงแล้ว ศิลปะที่ดีคืออะไรฉากที่ 6 สีดาลุยไฟhttps://www.youtube.com/watch?v=2DV1AjMyd4Uเป็นฉากการประหารนางปิ่น โดยได้ทูลขออนุญาตประหารด้วยการลุยไฟ โดยผู้ทำการประหารคือพระราม ที่แสดงโดยหม่องสะนั่นเอง ถือเป็นการจบชีวิตแบบศิลปินโดยแท้ โดยก่อนหน้านี้ ทั้งสองได้คุยสั่งเสียกันมาแล้ว หม่องสะบอกว่า ถ้าปิ่นไม่อยู่แล้ว เขาคงจะแปลเรื่องอิเหนาต่อไปไม่ได้ แต่นางปิ่นบอกว่า ถ้าคิดถึงเธอ ก็ขอให้แปลเรื่องอิเหนาต่อไปให้จบ แล้วเธอจะไปอยู่ในอิเหนาเรื่องนั้น ถือเป็นการสั่งเสียแบบศิลปินต่อศิลปินที่สะเทือนใจสุดๆขอฝากปริศนาชวนคิด ตอนที่เจ้าฟ้ากุณฑลได้สอนปิ่นก่อนจะเข้าลานประหาร ว่า "มองพระรามอย่ากะพริบตา รู้สึกให้มาก สำแดงให้น้อย" ท่านผู้อ่านคิดว่ามีความหมายอย่างไรครับโดยภาพรวมแล้ว ละครนี้เป็นละครพีเรียดแนวดราม่า ฝากข้อคิดเกี่ยวกับศิลปะไว้มากมายในเรื่อง และที่สำคัญคือ คุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่คนไทยเราอาจจะหลงลืมไปแล้วว่าเคยมีชาวกรุงศรีอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปอยู่ที่อังวะ ในคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 และยังคงรักษาชุมชนของตนไว้จนถึงทุกวันนี้ สำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ผมขอแนะนำให้ติดตามสารคดีชุด "โยเดียที่คิด (ไม่) ถึง" ทางไทยพีบีเอส ครับ โดยเฉพาะตอน "สายเลือดอโยธยา" นะครับhttps://www.youtube.com/watch?v=1R2W5mpUqsI&list=PL-GHZMQmWmIrZNzOXhyJTdR7RdBdP3vDO&index=3น่าเสียดายที่เหตุการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ มิเช่นนั้น ชาวไทยเราคงได้ไปเที่ยวประเทศเมียนมา ไปตามรอยนางปิ่นและหม่องสะที่มัณฑะเลย์ อมรปุระ และหมู่บ้านสุขะกันให้เอิกเกริกไปเลยสุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณผู้ประพันธ์และผู้กำกับการแสดง คุณชาติชาย เกษนัส รวมทั้งทีมงานของละคร "จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี" ที่ได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจนี้ขึ้นมา แม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้การถ่ายทำเป็นไปด้วยอุปสรรคต่างๆ รวมทั้งไม่สามารถเดินทางไปถ่ายทำที่เมียนมาได้ วัดมหาเตงดอจีก็ต้องสร้างขึ้นใหม่ แต่ทีมงานก็อุตส่าห์สู้ถ่ายทำจนสำเร็จ ขอบคุณมากๆ ครับ"แด่ดวงวิญญาณของศิลปินผู้ก้าวพ้นพรมแดน"ที่มาของภาพปก Thai PBSที่มาของวีดิโอที่ 1 จาก ThaiPBSที่มาของวีดิโอที่ 2 จาก ThaiPBSที่มาของวีดิโอที่ 3 จาก ThaiPBSที่มาของวีดิโอที่ 4 จาก ThaiPBSที่มาของวีดิโอที่ 5 จาก ThaiPBSที่มาของวีดิโอที่ 6 จาก VIPAที่มาของวีดิโอที่ 7 จาก ThaiPBSเปิดประสบการณ์ความบันเทิงสุดหลากหลาย บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !