หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเป็นจิตแพทย์ ที่มีประสบการณ์รักษาผู้ป่วยมามากกว่า 1,000 คน เริ่มแรกที่ผมหยิบขึ้นมาอ่านเพียงเพราะคิดว่าอยากอ่านหนังสืออ่านง่ายๆสบายๆสักเล่ม ที่ไม่ได้เกี่ยวกับแนวพัฒนาตัวเองหรือเรียนรู้เรื่องต่างๆมากนัก แต่พอได้อ่านไปสักนิดปรากฎว่า หนังสือเล่มนี้เหมือนเขียนขึ้นมาเพื่อปลอบโยนคนที่เป็นโรคซึมเศร้าโดยเฉพาะเลย ผมเลยคิดว่าผมควรจะยังอ่านต่อดีมั้ย... สุดท้ายผมก็อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบเล่ม ความคิดแรกที่ผมคิดว่าผมไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านั้นจะสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้มั้ย คำตอบคืออ่านได้และสมควรอ่านอย่างยิ่ง เพราะในหนังสือเล่มนี้มีหลายหัวข้อที่เปลี่ยนความคิดผมให้ดีขึ้น และทำให้รู้วิธีรับมือต่างๆกับตัวเอง รู้เท่าทันตัวเอง เข้าใจความหมายของความสุข เข้าใจคุณค่าของชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้ผมรู้สึกว่าได้รับคุณค่าหลายอย่างจากหนังสือเล่มนี้มากเหลือเกินจนอยากเอามาแชร์กันครับ 1) คิด "บวก" เป็นเรื่องแปลกคิด "ลบ" เป็นเรื่องปกติข้อนี้อ่านแวบแรกผมอึ้งมากว่า ทำไมการคิดลบถึงเป็นเรื่องปกติหละ เราควรฝึกที่จะคิดบวกที่เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ แต่ผู้เขียนบอกว่า การคิดลบของเรานั้นแหละที่ทำให้เราเอาชีวิตรอดได้ พร้อมยกตัวอย่างว่า ถ้าเราเป็นม้าลายอยู่ทุ่งหญ้าในป่า ถ้าได้ยินเสียงหญ้าแหวก ม้าลายที่คิดลบก็คงจะระวังตัวหรือหันไปมองว่า จะเป็นเสือหรือสิงโตมาล่าหรือเปล่าถ้าใช่ก็พร้อมวิ่งหนี แต่ถ้าม้าลายคิดบวก คิดว่าคงเป็นเสียงลมพัดไม่สนใจหละก็วันหนึ่งอาจโดนขย้ำอย่างง่ายดาย พอถึงตรงนี้ผมถึงเข้าใจว่า คนที่คิดลบเป็นปกตินั้นเป็นธรรมชาติ และมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยมด้วย 2) ความถูกต้องนั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ความถูกต้องเปลี่ยนผมคิดว่าความถูกต้องนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่มันเป็นความจริงอย่างเถียงไม่ได้ว่า ความถูกต้องนั้น อยู่ที่สถานการณ์ และสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ เช่น สมัยก่อนถ้าเราไปคุยกับคนที่เราให้ความสำคัญแต่เราใส่ไปคุยกับเขา คนนั้นอาจจะมองว่าเราไม่มีมารยาท ไม่เปิดเผยกลัวอะไรอยู่ แต่สมัยช่วงที่โควิดระบาดมาถึง คนที่เข้าไปคุยโดยที่ใส่หน้ากากอนามัยนั้นคือคนที่รู้กาลเทศะ รู้จักรับผิดชอบต่อสังคมและตัวเอง คนที่ใช้ชีวิตโดยไม่ใส่หน้ากากอนามัยเป็นคนที่เคยโดนชมว่าเป็นคนกล้าแสดงออกกล้าเปิดเผยกลายเป็นฝ่าย โดนตราหน้าว่าไม่มีความรับผิดชอบ ตกข่าว ไม่มีจิตสำนึก สะอย่างนั้นนี่เลยเป็นตัวอย่างของสถานการณ์เปลี่ยนความถูกต้องเปลี่ยนครับ 3) ปัญหาระหว่างชายหญิงหลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบ ผมก็เข้าใจความคิดของผมและแฟนมากขึ้นว่า ผู้ชายคิดเน้นไปที่ "ผลลัพธ์" ผู้หญิงคิดเน้นไปทาง "ความเข้าอกเข้าใจ" เวลาผู้หญิงเล่าเรื่องต่างๆให้ผู้ชายฟังผู้ชายมักจะคิดไปถึงข้อสรุปหรือหาทางออกจากเรื่องที่ฟัง บางครั้งยังฟังไม่จบแต่เจอทางแก้ที่ตัวเองคิดออกแล้วก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "ทำแบบนี้สิ..." เท่านั้นแหละครับ ปัญหาเกิดทันที ทางผู้ชายจะคิดว่าเรานี่เป็นแฟนที่ดีจริงๆให้คำปรึกษาได้ตอบคำถามตรงจุด คิดไว จับประเด็นได้ เพราะอย่างที่บอกก่อนหน้านี้ครับว่า ผู้ชายจะคิดเน้นไปที่ผลลัพธ์ แต่ปัญหาเกิดเพราะ ทางฝั่งฝ่ายหญิง ไม่ได้ต้องการให้มาขัดพูดแทรกหรือแสดงความคิดเห็น แต่ผู้หญิงต้องการระบายสิ่งที่ตัวเองเจอมา ต้องการได้รับความเข้าใจ ว่าตัวเองพยายามมาขนาดนั้นเลยนะ ตัวเองต้องผ่านอะไรมาถึงทำได้ขนาดนี้ การที่โดนแทรกหรือ โดนตัดบท จึงเหมือนว่าเราไม่ได้เข้าใจหรือตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอเล่าเลยนั้นเองครับ4) สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความ "อยากตาย" คือ "อยากอยู่"เรื่องความอยากตายนี้ผมก็ต้องยอมรับว่า มีแวบขึ้นมาให้คิดอยู่เช่นกัน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมความคิดอยากตายนั้นถึงผุดขึ้นมาในหัวของผม จนได้มาอ่านหัวข้อนี้ทำให้ผมเข้าใจตัวเองไปอีกขั้นคือ ผมรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับ และไม่รู้สึกว่าตัวเองสามารถทำอะไรให้เกิดความสำเร็จได้ดีๆสักอย่าง แต่ผมสะบัดความคิดอยากตายออกไปได้เพราะว่าถ้าผม ตายไปตอนนี้แสดงว่าผมจะไม่ได้เห็นตัวเองในตอนที่สำเร็จไปแล้วจริงๆน่ะสิ ก็เลยรอดมาได้ครับ ส่วนเคสในหนังสือมีน้องคนนึงมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ลึกๆแล้วน้องคนนั้นกลัวว่าคุณพ่อเขาจะไม่ยอมรับ น้องต้องการได้รับการยอมรับจากคุณพ่อเมื่อทราบถึงสาเหตุแล้วอาการของน้องก็ดีขึ้นตามลำดับ คนที่มีความคิดแนวๆนี้ลองสำรวจเบื้องหลังของความคิดนี้อีกครั้งดูนะครับ 5) คาถาที่ทำให้รู้สึกแย่ข้อนี้เกี่ยวการเอา ตัวเองจากอดีตที่เคยทำได้มา "เปรียบเทียบ" กับตัวเองตอนปัจจุบันที่ไม่สามารถทำแบบแต่ก่อนได้แล้ว เลยทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ครับ หัวข้อนี้ผมมองว่าถ้าเกิดการเปรียบเทียบที่ไม่ได้อยากเอาไปพัฒนาต่อความคิดนี้จะทำให้เรารู้สึกแย่อยู่เสมอเลยครับ ทางออกที่ผมพอคิดได้หลักๆ คือ โฟกัสแค่ตัวเองตอนปัจจุบันครับว่าจะทำอะไรต่อ เราสามารถทำอะไรในตอนนี้ได้ โดยไม่หันหลังไปมองตัวเองตอนอดีต หรือมองคนอื่น 6) เข้าใจความสุข 2 ประเภทแล้วชีวิตจะมีความสุข คูณ 2 หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ ผมชอบมากที่สุดในเล่ม เพราะเป็นประสบการณ์ตรงกับผมตรงที่ว่าบางครั้งผม รู้สึกอยากมีความสุขผมก็ซื้อของที่ผมอยากได้ แต่ทำไมบางครั้งได้ของสิ่งนั้นมาแล้วก็ไม่ได้ตอบโจทย์ความสุขของเราเลย ในหนังสือเล่มนี้ แยกความสุขออกมา 2 ประเภทคือ 1) ความสุขแบบ "ได้ใช้" คือ ง่ายและสนุกแต่ไม่ทำให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จ เช่น ไปเที่ยว ซื้อของที่อยากได้ 2) ความสุขแบบ "ได้ทำ" คือ ต้องเหน็ดเหนื่อย แต่จะรู้สึกภูมิใจที่เห็นสิ่งนั้นสำเร็จขึ้นมา เช่น การเลี้ยงลูก ทำงานใหญ่สำเร็จ สอบได้คะแนนดีพอผมอ่านจบบทก็เข้าใจทันทีเลยว่าที่ผ่านมายังไม่เข้าใจตัวเองว่าอยากได้ความสุขแบบไหน ผมจึงเอาไปลองใช้ในชีวิตประจำวันและปรากฎว่ามันได้ผล ผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไร ซึ่งรายละเอียดข้อนี้หากคุณอยากอ่านเพิ่มเติมสามารถอ่านบทความก่อนหน้าของผมได้นะครับ 7) ความรู้สึกผิดนั้น ทำให้ทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้างไม่มีความสุขเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือ ทำเรื่องที่เกิดผลไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาเรามีสิทธิ์ที่จะสำนึกผิด รู้สึกผิดหรือแย่เกิดขึ้นในใจ แต่อย่าอยู่กับสิ่งนั้นนานเกิดไปครับเพราะ มันไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา ผลลัพธ์มันเกิดขึ้นไปแล้ว ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขได้ก็เรียนรู้จากมันแล้วก้าวไปข้างหน้า โดยที่พยายามอยู่ในจุดที่จะไม่พลาดซ้ำเดิมครับนี่เป็นหนังสือที่ผมรู้สึกว่าเป็นหนังสือเยียวยาจิตใจที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งเลยครับ ผมอ่านจบแล้วรู้สึกมีความอยากส่งต่อให้ผู้คนรอบตัวได้อ่าน ทั้งคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่ หรือไม่ได้เป็นก็ตาม เพราะเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นภูมิคุ้มกัน หรือยาที่มีคุณภาพในด้านการรักษาจิตใจครับ ถึงแม้ในหนังสือจะเน้นสื่อสารไปถึงผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่ผมที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้ากับได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น แล้วก็ได้แนวคิดหลายๆอย่างจากหนังสือเล่มนี้ครับ ใครสนใจก็สามารถซื้อมาอ่านได้นะครับ ผมแนะนำจากใจจริง สวัสดีครับ เครดิตรูปภาพภาพปก ภาพถ่ายโดย Gurafu ภาพที่1 ภาพถ่ายโดย Polina Zimmerman: / pexelsภาพที่2 ภาพถ่ายโดย RDNE Stock project: / pexelsภาพที่3 ภาพถ่ายโดย Elina Fairytale: / pexelsภาพที่4 ภาพถ่ายโดย Aphiwat chuangchoem: / pexelsเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !