..." สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน การพูดเป็นทักษะที่สำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวันและการทำงานนะคะ เราใช้การพูดเพื่อสื่อสารความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และสร้างความเข้าใจร่วมกัน เมื่อเราพูดด้วยความระมัดระวังและคิดก่อนที่จะพูด ก็จะช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ..." คนที่ฉลาดพูดไม่ได้แค่มีความรู้และทักษะทางด้านภาษาเท่านั้น แต่ยังต้องมีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์และคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะเริ่มพูดด้วยนะคะ "... ....ในบทความนี้ผู้เขียนจะพาผู้อ่านไปเรียนรู้การฝึกทักษะการพูดกันค่ะ ฝึกเพื่อให้เราเป็นคนฉลาดพูดจะมีวิธีอะไรบ้างเราไปเรียนรู้พร้อมๆกันเลยค่ะ "...1. สำรวจสถานการณ์ ..." ก่อนพูดอะไรๆ ให้เราสำรวจสถานการณ์และเหตุการณ์รอบตัวก่อนนะคะ เช่น ใครเป็นคนที่คุยกับเรา และสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพื่อปรับเปลี่ยนการสื่อสารให้เหมาะสมกับบุคคลหรือกลุ่มเป้าหมาย "...ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อ่านได้นำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กันนะคะ เช่นผู้คนที่เกี่ยวข้อง: ให้เราดูว่ามีใครอยู่ในห้องหรือในสถานที่เดียวกับเราบ้าง ผู้คนเหล่านั้นมีบทบาทหรือความสำคัญอย่างไรในบริบทนั้นๆ, ทราบข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่จะพูดด้วย เช่น อายุ อาชีพ เพศ วัฒนธรรม ความสนใจ ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องของพวกเขา และมุมมองของพวกเขา เพื่อปรับวิธีสื่อสารให้เหมาะสมกับผู้คนที่เรากำลังพูดด้วยสภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อมทางสังคมและทางกายภาพ เช่น มีเสียงรบกวนอยู่หรือไม่ สภาพอากาศเป็นอย่างไร เป็นต้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น: มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่อาจมีผลต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งก็อาจจะมีผลต่อการพูดของเราด้วยว่าเหมาะสมหรือไม่ความรู้สึกและอารมณ์: ให้เราสังเกตความรู้สึกของเราและของผู้อื่นในสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งอาจมีผลต่อการสื่อสารและการเข้าใจได้นะคะวัตถุประสงค์และเป้าหมาย: เราควรรู้ว่า เราต้องการอะไรจากการสื่อสารนี้ และผู้อื่นมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอะไรในการสื่อสารกับเราเช่นกัน ..." เพราะฉะนั้นวิธีการสำรวจสถานการณ์จะช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับบริบทและปัจจัยที่มีผลต่อการสื่อสารนะคะ และจะช่วยให้เราปรับเปลี่ยนและปรับปรุงการสื่อสารให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบุคคลหรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดน๊า "...2. วัตถุประสงค์ในการพูด ..." ก่อนที่เราจะพูดทุกครั้งเราต้องรู้วัตถุประสงค์ในการพูดด้วยนะคะว่าเราต้องการพูดอย่างไรต่อผู้ฟัง เพราะฉะนั้นวัตถุประสงค์ในการพูดจึงเป็นการกำหนดว่าเราต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจหรือรับรู้สิ่งที่เรากำลังพูดในรูปแบบใด โดยอาจมีวัตถุประสงค์หลายประเภท เช่น การแสดงความคิดเห็นเพื่อแบ่งปันข้อมูลหรือเหตุผล, การแก้ไขปัญหาโดยการสื่อสารเพื่อหาทางออกหรือการแสดงอารมณ์เพื่อแสดงความรู้สึกหรือความเห็นต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ....การรู้วัตถุประสงค์ในการพูดจะช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจกันได้ดียิ่งขึ้นนะคะ อีกทั้งช่วยลดโอกาสในการเกิดความเข้าใจผิดพลาดหรือความขัดแย้งในการสื่อสารลงได้ ....ทั้งนี้การแสดงอารมณ์ เช่น ความสุข, ความเสียใจ, หรือความรำคาญก็เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารที่มีวัตถุประสงค์ในการแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกต่อผู้ฟังด้วยนะคะ "...3. พิจารณาผลของคำพูด ..." ให้เราคิดอย่างระมัดระวังถึงผลที่อาจเกิดขึ้นจากคำพูดของเรา ว่ามันจะมีผลเชิงบวกหรือเชิงลบต่อผู้ฟังหรือสถานการณ์นั้นๆ ให้คิดถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากคำพูดของเราด้วยนะคะ "...ผู้เขียนขอยกตัวอย่างผลของการพูด (เราต้องการผลอย่างไรกับการพูดของเราในแต่ละครั้ง) เช่นพูดเพื่อสร้างความเข้าใจและสัมพันธ์ที่ดีพูดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นกำลังใจให้กับผู้ฟังพูดเพื่อสร้างความสับสนหรือ การใช้คำพูดที่ก่อให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิด ซึ่งคำพูดที่ไม่คิดก่อนพูดและไม่ใช้ความระมัดระวังอาจสร้างความสับสนหรือความเสียหายต่อผู้ฟังหรือสถานการณ์ต่างๆได้ พูดเพื่อสร้างความไม่พอใจหรือการเคืองใจแก่ผู้ฟัง เช่น การใช้คำพูดที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกหรือความเชื่อของผู้ฟังอย่างไม่เหมาะสมนะคะ ..." ทั้งนี้การพิจารณาผลของคำพูดมีหลายปัจจัยที่เราต้องพิจารณาร่วมด้วย เช่น "...บรรยากาศ: บรรยากาศรอบข้างสามารถมีผลต่อวิธีการรับฟังและความเข้าใจของผู้ฟังได้ เช่น บรรยากาศที่เป็นกังวลอาจทำให้ผู้ฟังมีความเครียดและเข้าใจผิดได้แง่มุม: แง่มุมของผู้พูดสามารถมีผลต่อวิธีการเข้าใจของผู้ฟัง เช่น การใช้คำถามเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการสนทนาและแสดงความคิดเห็นของตนเองเพื่อสร้างความเข้าใจได้ดีขึ้นความเห็นต่าง: ความเห็นและความเชื่อของแต่ละบุคคลส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ วัฒนธรรม และค่านิยมที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการเข้าใจและปรับการสื่อสารให้เหมาะสมกับผู้ฟังเป็นสิ่งสำคัญอารมณ์: คำพูดมักมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้ฟัง เช่น คำพูดที่เน้นการยกย่อง การสนับสนุน หรือการกระตุ้นให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจ อย่างเช่น "คุณทำได้ดีมาก!" หรือ "คุณจะทำได้แน่นอน!" การใช้คำพูดแบบนี้จะทำให้ผลของคำพูดเราเป็นไปในทางบวกนะคะ ....ดังนั้นการพิจารณาผลของคำพูดจะช่วยให้เราสร้างความตระหนักและความรับผิดชอบในการสื่อสารอย่างมีสติและอ่อนโยน เพื่อไม่ให้คำพูดของเราส่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์แก่ผู้ฟังหรือสถานการณ์นั้นๆ อย่างไรก็ตามผลกระทบของคำพูดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบรรยากาศและความเข้าใจของแต่ละบุคคลในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยนะคะ....4. การพิจารณาถึงความรู้สึกของผู้ฟัง ..." เราควรใส่ใจในอารมณ์และความรู้สึกของผู้ฟังตลอดการพูดนะคะ เพื่อปรับเสียงพูดและเนื้อหาให้เหมาะสมกับบรรยากาศได้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยให้ผู้ฟังรับรู้ความรู้สึกและความต้องการของพวกเขาได้อย่างถูกต้องและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการพูดของเรานะคะ "...ผู้เขียนขอยกตัวอย่างวิธีพิจารณาความรู้สึกของผู้ฟังมาพอเป็นแนวทางให้ผู้อ่านนำไปปรับใช้กันนะคะ เช่นการสังเกตผู้ฟัง: เราควรสังเกตและรับรู้สึกถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ฟังโดยใช้สัญชาตญาณและภาษาต่างๆ เช่น สายตา ภาษากาย และสัญญาณเสียง เพื่อทราบว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรต่อเนื้อหาหรือบรรยากาศที่เรากำลังสร้างขึ้นอารมณ์: การรับฟังที่มีอารมณ์ด้านบวกมักจะต้องการการพูดที่เป็นกันเองและสดใส เช่น การใช้เสียงที่เป็นกันเองและมีความสุข เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นสีสันและเชื่อมโยงกับผู้ฟังความรู้สึก: การรับฟังที่มีความรู้สึกที่น่าสนใจหรือเศร้าอาจต้องการการพูดที่อ่อนโยนและเข้าใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้ฟังและให้การสนับสนุนที่เหมาะสม ..." การที่ผู้พูดสามารถรับรู้และปรับการพูดของตนให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ฟังจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและสร้างความเข้าใจและสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟังได้ดียิ่งขึ้นนะคะ "...5. รับฟัง ..." การรับฟังคือช่วงเวลาที่ให้ผู้อื่นพูด โดยเราจะพิจารณาข้อมูลหรือความคิดของพวกเขาก่อนที่จะตอบโต้โดยไม่ขัดจังหวะที่เขาพูด นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มความรู้เรื่องสัญลักษณ์ที่ไม่ใช่คำพูด เช่น ภาษากาย อารมณ์ หรือทัศนคติของเขา เพื่อให้เราเข้าใจความรู้สึกหรือบรรยากาศในการพูดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ....ดังนั้นการฝึกฝนการฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเข้าใจความต้องการของผู้ฟัง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์มากขึ้น เข้าใจบทบาทและความต้องการของผู้ฟังได้ดียิ่งขึ้นนะคะ "...6. พูดพอประมาณอย่างเหมาะสม ..." ในบางสถานการณ์เราควรพูดให้น้อย แต่จงฟังให้มาก ไม่จำเป็นต้องพูดในรายละเอียดทั้งหมด หรือพูดนอกเหนือจากขอบเขตที่เราคิดไว้ เช่น เมื่อเราต้องการให้คำแนะนำหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดๆ การให้ข้อมูลในปริมาณที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการพูดคุยเพิ่มเติม โดยไม่จำเป็นที่เราต้องพูดถึงทุกรายละเอียดหรือเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังพูดถึงนะคะ การพูดในขอบเขตที่เหมาะสมย่อมเสริมความชัดเจนและประหยัดเวลาในการสื่อสารได้มากขึ้น ....ทั้งนี้การให้ข้อมูลอย่างสั้นๆ อาจช่วยลดความสับสนและเพิ่มความกระชับในการสื่อสารเพื่อให้เห็นถึงข้อมูลที่ตรงจุดและชัดเจน พยายามพูดให้อยู่ในขอบเขตของเรื่อง บางครั้งการพูดมากไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเรานะคะ ดังนั้นให้เราพูดอย่างพอประมาณค่ะอย่าตามใจอารมณ์นะคะพยายามฝึกควบคุมให้ได้น๊า ซึ่งผู้เขียนจะพูดถึงในข้อถัดไปค่ะ "...7. ควบคุมอารมณ์ ..." เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญในการพูดมากๆเลยนะคะ บางครั้งบรรยากาศในการพูดอาจจะมีหลากหลายอารมณ์ที่ทำให้เรารับรู้อารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ ตื่นเต้น เศร้า เป็นต้น ดังนั้นเราควรควบคุมอารมณ์ให้ได้เมื่อเราต้องพูดเพราะอารมณ์จะมีผลต่อคำพูดที่เราสื่ออกไปนะคะ "...ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง เช่นอารมณ์ตื่นเต้น: เมื่อเราตื่นเต้นจะทำให้เราพูดเร็วขึ้น เกิดความสับสน และจะทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูดก็เป็นได้ ดังนั้นให้เราหายใจเข้าลึกๆ หายใจแล้วออกช้าๆ เพื่อสร้างความสงบสติ และพยายามพูดช้าลงนะคะอารมณ์โกรธ: เมื่อเรารู้สึกว่าเรากำลังโกรธ ก็ให้เราหยุดพูดก่อน แล้วหายใจเข้าลึกๆแล้วหายใจออกช้าๆ เพื่อสงบสตินะคะ จากนั้นให้เราคิดบวกแล้วยอมรับว่าไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบแม้กระทั่งมุมมองและความคิดนะคะ ..." อย่างไรก็ตาม ควรรักษาความสุภาพและการใช้คำพูดที่เหมาะสมในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด การให้ความสำคัญกับการควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญเสมอนะคะ เรื่องของอารมณ์มันต้องใช้เวลา ค่อยๆฝึกฝนกันไป แล้วเราจะเป็นคนที่เก่งขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ "... ..." ดังนั้นการใช้ทักษะการคิดก่อนพูดจะช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์การสื่อสารนะคะ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสื่อสาร เพิ่มศักยภาพในการโต้แย้งอย่างมีเหตุผล และสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้อย่างดีเลยทีเดียว หากเราพัฒนาทักษะเหล่านี้ เราก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากในการใช้ชีวิตนะคะ "... ..." เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะสำหรับบทความในวันนี้ ผู้เขียนหวังว่าวิธีการเหล่านี้จะพอเป็นแนวทางให้ผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ พบกันใหม่ในบทความหน้า สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ "... เครดิตรูปภาพ1. รูปภาพปกจัดทำโดย Masukaza (เจ้าของบทความ)2. รูปภาพปกออกแบบโดย Canva 3. ขอบคุณรูปภาพปกโดย LinkedIn Sales Solutions | unsplash4. รูปภาพประกอบทั้งหมดโดย unsplash.comขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 1 Austin Distel | unsplashขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 2 Austin Distel | unsplashขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 3 Christina @ wocintechchat.com | unsplashขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 4 Icons8 Team | unsplashขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 5 Christina @ wocintechchat.com | unsplashขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 6 Christina @ wocintechchat.com | unsplashขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 7 Christina @ wocintechchat.com | unsplashขอบคุณรูปภาพประกอบที่ 8 Christina @ wocintechchat.com | unsplash เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !