สวัสดีจ้าทุกคน วันนี้มาเอาใจสาวกเด็กเอกอิ้งกันหน่อย หากใครที่เรียน English Program อยู่ที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยไหนสักแห่ง จะต้องเคยประสบพบเจอกับสิ่งที่ทำให้ เด็กเอกอิ้งอย่างเรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแน่นอน มาดูกันเลย ว่า 7 สิ่งที่เด็กเอกอิ้งทุกคนจะต้องเข้าใจเป็นอย่างดี มีอะไรบ้าง1. Dictionary เคลื่อนที่ เริ่มต้นกันที่ข้อแรกเลย เชื่อว่าเด็กเอกอิ้งทุกคนต้องเคยเจอแบบนี้! เพราะเราก็เจอบ่อยแบบที่ว่าบ่อยมากแม่ ทั้งเพื่อนสนิท มิตรสหาย พอรู้ว่าเราเรียนอิ้ง ก็มองเราเป็น Dictionary ไปโดยปริยาย ล่าสุด เพื่อนทักมาถามว่า คำนี้แปลว่าไร พอตอบกลับไปว่า ไม่รู้ เท่านั้นแหละ โดนมันสวดยาวเลยจ้าา TT คือเพื่อนไม่เข้าใจหรอ ว่าเราก็ไม่ได้รู้ทุกคำไง โถ่ถัง... แต่!! ข้อดีของการโดนเพื่อนถามบ่อยคือไรรู้ไหม? มันทำให้เราอยากพัฒนาตัวเองมากขึ้นไงล่ะ เราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส หากคำนั้นเราไม่รู้ก็ลองหาความหมาย เรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นอยากรู้ ที่สำคัญ ความรู้สึกที่มันเฟลนี่แหละ จะทำให้เราจำคำ ๆ นั้นได้ขึ้นใจเลย2. แค่มีเธอ ก็อุ่นใจ ไปเรียนทุกคาบ ต้องพกไปอย่างน้อย ๆ 1 เล่ม แม้จะไม่ได้ใช้ เพราะเน้นเปิดเว็บในมือถือเสียมากกว่าก็เถอะ แต่เด็กเอกอิ้งอย่างพวกเราต้องมีติดตัว เพื่อความอุ่นใจแหละน่าา สำหรับใครที่ไม่ชอบพกพาดิกชันนารีให้หนักกระเป๋า ก็สามารถใช้สมาร์ทโฟนคู่ใจช่วยได้ วันนี้เราเลยเอาลิงค์ Dictionary ออนไลน์ดี ๆ มาฝากด้วยแหละ ด้านล่างนี้เลยจ้า👉 เว็บไซต์ Oxford Dictionary : https://www.oxfordlearnersdictionaries.com เว็บนี้ดีมาก เหมือนมีดิกชันนารีเล่มโตอยู่กับตัว ใช้สำหรับ แปลอังกฤษเป็นอังกฤษ เราชอบใช้ แต่ส่วนใหญ่จะเปิดเล่มดิกชันนารีมากกว่าเพื่อให้คุ้นมือ คุ้นศัพท์อื่น ๆ ด้วย👉 เว็บไซต์ Cambridge Dictionary : https://dictionary.cambridge.org อันนี้ก็ดีย์แบบสุด ๆ ประทับใจมาก ชอบที่มีคำเหมือนและตัวอย่างประโยคให้เยอะมาก👉 เว็บไซต์ ฉันรักแปล : https://th.ilovetranslation.com เว็บ แปลอิ้งเป็นไทย หรือจะแปลไทยเป็นอิ้งได้หมด มีผลลัพธ์การแปล 3 ช่องด้วยกัน👉 เว็บไซต์ Longdo Dictionary : https://dict.longdo.com เว็บนี้ก็ดีไม่แพ้เว็บอื่น ๆ ส่วนตัวเราใช้เว็บนี้ สำหรับหาคำศัพท์สั้น ๆ และต้องการคำแปลภาษาไทยที่หลากหลาย เพื่อน ๆ ถนัดใช้เว็บไหนหรือชอบดิกชันนารีเล่มไหนก็อย่าลืมนำมาใช้ให้เคยชินและเกิดประโยชน์กันด้วยน๊าาา~3. ตัวอักษรแบบธรรมดามันง่ายไป จะให้เรียนแค่ 26 ตัวอักษรแบบธรรมดานั้นดูจะเป็นเรื่องที่จิ๊บจิ๋ว เพราะเด็กเอกอิ้งน่ะ เรียน Phonetic yeah ~ เรียนแบบที่ว่าแทบจะมองตัวอักษรรูปเดิมไม่ออกเลย แหะ ๆ หลาย ๆ คนต้องเคยเห็น ภาพคล้าย ๆ ร่างกายมนุษย์ ที่เรามักรู้จักกันดีว่า vocal cords ถามว่าเราจำเป็นต้องเรียนเรื่องคอหอยหรือไม่ ตอบเลยว่ามาก!! ไม่ใช่แค่ให้รู้คำศัพท์ในหมวดร่างกาย แต่เพราะจะได้ใช้อวัยวะเหล่านี้ในการช่วยออกเสียงภาษาอังกฤษอีกด้วย พูดแล้วหน้าอาจารย์ลอยมา ~~ เราใช้อวัยวะเหล่านี้ในการออกเสียง สัทอักษร ภาษาอังกฤษ เช่น /p/, /b/, /k/, /t/, /d/ รวมไปถึงสระต่าง ๆ อีกมากมาย ตอนซ้อมนี่มีน้ำลายกระฉูดกับไอ้ตัว th ที่ไม่มีการออกเสียงในภาษาไทย ยิ่งตอนสอบกับอาจารย์นี่ เกร็งสุด นอกจากออกเสียงถูกแล้ว ยังต้องรู้ตำแหน่งคำ ที่มากกว่า Nouns, Verb, Adjective, Adverb เพราะคำเหล่านี้สามารถแยกแตกโขนงได้ด้วย เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งในประโยค เพราะการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องมีหลายทักษะ ทักษะที่สำคัญ ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ยิ่งในด้านการอ่าน เชื่อว่าเด็กเอกอิ้งจะต้องได้อ่านวรรณกรรม วรรณคดีภาษาอังกฤษ ทั้งแบบอังกฤษและอเมริกันเป็นแน่ และเหล่าเด็กเอกอิ้ง ก็คงจะมีเรื่องที่อินและเก็บไว้ใน memory แน่ ๆ อย่างของเรา เรายกให้เป็นเรื่อง White Fang เลย เนื่องด้วยเป็นสาวกคนรักหมา ตอนอ่านแรก ๆ มีน้ำตาซึมเลย (แปลไม่ออก) หยอก ๆ >< เนื้อเรื่องทำเอาเจ้าของสุนัขอย่างเรารักหมาขึ้นเป็นเท่าตัว ตอนนั้นแทบจะกราบแทบเท้าแม่ ขอเลี้ยงหมาป่า แหะ ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีดัดแปลงไปหลายเวอร์ชั่นมาก ๆ ทั้งที่เป็นงานเขียนและเป็นการ์ตูน เพื่อน ๆ ลองไปหาอ่านหาชมกันได้นะ4. Present งาน ต้องเป๊ะเวอร์! ขึ้นชื่อว่าเรียนเอกอิ้ง เป็นสิ่งที่ต้องมาคู่กับ ความมั่นใจ แต่เชื่อว่าทุก ๆ เอก ก็มีความกล้าแสดงออกไม่แพ้กัน ในส่วนของเด็กเอกอิ้ง Powerpoint ต้องดูดี ท่าทางที่ใช้ประกอบก็ต้องเป๊ะ เราเชื่อว่า การที่เราจะพูดได้ชัดถ้อยชัดคำ และดูดีในเวลาที่พรีเซนท์งาน เราต้องมีความมั่นใจมาก ๆ เรามีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้เลย เราเป็นคนขี้อายมาก ๆ ช่วงแรก ๆ อะนะ ไม่กล้าแสดงออกอะไรเลยสักอย่าง TT นำเสนองานก็สั่น พูดผิดพูดถูก เอาง่าย ๆ แค่ข้อมูลตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ยังตื่นเต้น และกลัวจนพูดไม่ได้ เราเลยคิดว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องแย่แน่ ๆ เลยลองหาเทคนิควิธีให้ตัวเองมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผล เราจะแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้ปรับใช้กันดูนะวิธีที่ 1 เราจะซ้อมกับตัวเองจนแม่นยำ บางที่วิธีนี้ก็ไม่ได้ผล เพราะการซ้อมกับตัวเอง เห็นแค่ตัวเอง หรือซ้อมแค่กับเพื่อนสนิท ก็ไม่ได้ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อพบเจอคนจำนวนมาก แต่นี่เป็นวิธีเบสิคที่ควรทำ อย่างน้อย ๆ มันก็ช่วยให้เรามั่นใจขึ้นมาระดับหนึ่งวิธีที่ 2 เข้านอนเร็ว และ ตื่นเช้า วิธีนี้ดีต่อสุขภาพ ถ้าสุขภาพกายเราพร้อม ความมั่นใจก็จะออกมาเอง แถมยังทำให้สมองโปร่ง จดจำเนื้อหาที่จะพูดได้มากขึ้นวิธีที่ 3 นั่งสมาธิ สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ อะ... หายใจเข้า พุทธ~ หายใจออก โธ~ ส่วนตัวเราชอบวิธีนี้มากนะ ไม่ได้มีประโยชน์แค่ตอนจะพรีเซนท์ แต่มันมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตเราด้วย ยิ่งถ้าได้ทำก่อนนอน ยิ่งทำให้หลับสนิท ... กลับมาในส่วนของงานนำเสนอ อย่างว่าแหละ การนำเสนองานภาษาอังกฤษซึ่งไม่ใช่ภาษาที่เราถนัด มักผิดพลาดได้ง่าย จะแถไปก็ยาก ดังนั้น เราต้องตั้งสติ พยายามพูดตามที่เราเข้าใจ หรือถ้าเป็นงานที่ต้องจำมาก ๆ ยิ่งต้องทำสมาธิไม่ให้วอกแวกเลยแหละวิธีที่ 4 ให้กำลังใจตัวเอง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ บางคนอาจจะมองว่า ไม่เห็นจะได้ผลเลยยังตื่นเต้นอยู่ดี แต่เรากลับมองว่า วิธีนี้ควรทำมาก แค่เราบอกกับตัวเองว่าเราทำได้ และลองยิ้มให้กับตัวเองสัก สอง สามที แค่นี้เราก็มีความกล้ามากขึ้นแล้ววิธีที่ 5 เรียนรู้จากความผิดพลาด ยิ่งไม่มั่นใจ ยิ่งต้องทำ แม้จะหกล้มคลุกคลาน พูดผิดพูดถูก และอับอายมาสักแค่ไหน ก็ต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้ต่อไปให้ได้ พรีเซนต์ครั้งนี้ไม่ดี ครั้งหน้าก็เอาใหม่ จับจุดด้อยของตัวเองและเปลี่ยนแปลงมันไปทีละนิด และนี่ก็เป็นเคล็ดไม่ลับที่เราทำก่อนจะนำเสนองานเป็นประจำ ตอนนี้เราก็กล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น มี feedback จากเพื่อน ๆ และอาจารย์ ทำให้เรามีความมั่นใจกับตัวเองในระดับหนึ่ง ซึ่งเคล็ดลับเหล่านี้ เราก็ลองหาลองดูจากคนที่เป็นนักพูด หรือคนใกล้ตัวที่เก่ง ๆ แล้วเอามาปรับใช้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือดีย์!5. Do you want to have foreign boyfriend? คำถามที่เจอบ่อยของเด็กเรียนเอกอิ้งก็จะประมาณนี้ คือแบบ... ก็นะ เรียนภาษาก็หวังได้ภาษา แต่ถ้าได้ Hubby เป็นเป็นชาวต่างชาติ นั่นคือผลพลอยได้ แหะ ๆ6. เป็นล่ามทั่วทิศ จับผิดทั่วแห่งหน เป็นเด็กเอกอิ้งก็ต้องมีสายเลือดอิ้งทุกที่ที่อยู่ แม้แต่ไปเที่ยว แค่เห็นป้ายหรืออะไรแปลก ๆ เป็นต้องหาความหมาย เห็นข้อความอะไรที่ยาก ๆ ยิ่งต้องหาเอาให้ได้ และยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีตรงไหน ผิดหลัก Grammar ไปนี่มีของขึ้นกันบ้างแหละ ... เอาง่าย ๆ นะ เวลาที่เราเห็นป้ายหรือโบชัวร์พิมพ์ผิดหรือมีคำศัพท์ไหนอยู่ผิดที่ผิดทาง มันก็เหมือนเวลาที่เราเห็นคนพิมพ์ คำว่า คะ/ค่ะ ผิดนั่นแหละ อารมณ์เดียวกัน7. คุณคือนักร้องเสียงเพราะ! นอกจากจะมีคนส่งเนื้อเพลงมาให้แปลแล้ว ซ้ำร้ายยังให้ร้องเพลงสากลให้ฟังอีก คืออยากบอกให้โลกรู้ดัง ๆ ไปเลยว่า พูดอังกฤษได้ ใช่ว่าเดี๊ยนซ์จะร้องเพลงเพราะนะคะคุณขา TT เราเจอประสบการณ์ตรงแบบจะ ๆ เลย เพื่อนสุดที่รักส่งเพลงอินเลิฟมาให้แปล ก็อุตส่าห์แปลให้อย่างดิบดี นางยังให้ร้องให้ฟังอีก นางบอกจะเอาสำเนียง ฟังต้นฉบับแล้วยาก ... เอ่อ ... ฟังจากเดี๊ยนซ์ยากกว่าค่ะ แง ๆ เจอแบบนี้มันเศร้าเลย เราก็พยายามเรียนภาษาอังกฤษผ่านเพลง ผ่านสำเนียงเจ้าของภาษา และฝึกร้อง ฝึกพูดตามนะ แต่ร้องยังไง มันก็เพี้ยน (เรื่องนี้น่าจะแก้ยาก ~) เอาล่ะค่ะ นี่ก็ครบ 7 สิ่งที่เด็กเอกอิ้งอย่างเรา ๆ เนี่ยจะเข้าใจดีเลยแหละ แต่เอาเข้าจริง มีเยอะกว่านี้อีกที่ต้องประสบพบเจอ เอาเป็นว่า ไม่ว่าเราจะเจออะไรก็ตาม ให้มองให้แง่บวก (Positive thinking) เค้นเอาแต่สิ่งดี ๆ ที่เราจะได้รับนะจ้ะทุกคน ก่อนจะจากกันไปวันนี้ เรามีเทคนิคง่าย ๆ ในการเตรียมตัวเข้าเรียน English Major ด้วยล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันที่ข้อแรกเลย1. ถามตัวเองให้แน่ชัด ก่อนที่เราจะเรียนอะไรก็ตาม ให้เราคิดดี ๆ ว่านี่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆหรือเปล่า เพราะถ้าเรามีความแน่วแน่ ตั้งใจที่จะเรียนจริง เราจะเรียนได้อย่างมีความสุขแน่ ๆ สิ่งที่ทำให้เราชอบ ภาษาอังกฤษ มันเริ่มต้นจาก การปรับเปลี่ยนทัศนคติของเรา จากเดิม เราไม่ชอบวิชานี้เลย คิดว่าแบบ ยากพอ ๆ กะคณิตศาสตร์ แหะ ๆ แต่มันมีครูคนนึงอะ ใจดีมาก ๆ ที่มาสอนภาษาอังกฤษ และสไตล์การสอนของเค้าน่าสนใจมาก สอนสนุก มีเกมให้เล่นตลอดคาบ ทำให้เราเริ่มมีความสนใจในเรื่องของภาษา และอยากจะเข้าเรียนทุกคาบ (อีกอย่าง ตอนนั้นเรามีแพลนไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน ๆ เราเลยเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ) พอคิดได้ดังนั้น เราเลยปรับมุมมองที่ว่า "ยาก" ออกไปจากความคิด แล้วมาให้ความสนใจกับภาษาอังกฤษอย่างจริง ๆ จัง ๆ ด้วยการตั้งใจเรียน พอเรียน ๆ ไป ก็เห็นว่า "มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนี่นา" อย่างว่าล่ะ เราจะต้องมีความตั้งใจที่จะเรียนด้วย2. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเราเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นคณะ สาขาไหนก็ตาม แต่ไม่ใช่อาจารย์ทุกท่าน ที่จะมาสนใจในพื้นฐานที่เรามี เพราะฉะนั้น! เราจะต้องพัฒนาศักยภาพด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ อย่างอาจารย์ของเราอะ ไม่ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือครูในโรงเรียนเท่านั้นนะ เพราะรวมไปถึง ช่องสอนภาษาจากยูทูป (ของเราจะเป็นช่องการ์ตูน Pingu TV เราฟังแล้ว ทำให้รู้สึกว่า การฟังภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ฟังออกมากขึ้น) เพลงฝึกภาษา (อย่างเช่น Love me like you do อันนี้ชอบอ่า ><) รวมไปถึง Netflix และเพื่อนแชทชาวต่างชาติ (คุยกับคนจีนแต่เป็นภาษาอังกฤษ เราอาจจะเห็นแกรมมาร์ที่ไม่ชัดเจนนัก แต่พอจะสื่อสารกันได้ก็โอเค) แม้แต่ตอนที่ได้เข้าเรียนในสาขา Eng แล้ว เรายิ่งต้องมีสปิริตสูงขึ้น ไม่ใช่เพราะต้องแข่งกับคนอื่น แต่ต้องแข่งกับตัวเองคนเมื่อวาน3. อ่านหนังสือเยอะ ๆ เทคนิคง่าย ๆ ของคนอยากเรียน Eng คือหาหนังสือมาอ่าน วิธีการเลือกหนังสือคือ เลือกเล่มที่ตนสนใจ อย่างเช่น การ์ตูน หรือหนังสือที่ใช้คำง่าย มีภาพประกอบ อย่าเพิ่งแปลคำศัพท์ที่ยาก ให้ลองมองภาพประกอบ และลองเดา หรือจินตนาการว่าเรื่องที่เราอ่าน เกี่ยวกับอะไร วิธีนี้ช่วยเราได้ดีมาก ๆ เพราะยิ่งเราอ่านเยอะ เราก็จะรู้เยอะ ลองฝึกพูด ฝึกเขียนด้วยตัวเอง (เคล็ดลับของเราคือ เราจะเขียนแบบไม่สนแกรมมาร์ไปก่อน แล้วเรียนเพื่อให้เห็นข้อผิดพลาดที่เคยเขียน ถ้าเราสามารถกลับมาแก้ตรงนั้นได้ แสดงว่าสิ่งที่เราพยายาม เริ่มเห็นผลแล้ว) เราเชื่อนะว่าเพื่อน ๆ ทุกคนมีความฝัน และถ้าอาชีพที่อยู่ในฝัน ต้องเรียน English ละก็ ขอให้เพื่อน ๆ สู้ให้สุด แล้วมาหยุดที่ สาขาอิ้ง นะฮะ นี่ก็เป็นเทคนิค วิธีการเตรียมตัวสำหรับคนที่ตั้งใจจะเข้ามาเป็นเด็กเอกอิ้งนะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ น๊าา ยังไงเราก็ขอให้เพื่อน ๆ ทั้งที่กำลังเรียนอยู่และกำลังจะเข้าเรียน ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่นะจ้ะ อย่าลืมที่จะเพิ่มเติมความรู้ให้ตัวเองในทุก ๆ วันด้วยเด้อ ~ สำหรับวันนี้เราต้องขอตัว ม้าไปหลัง (ลาไปก่อน) น้าา ~ ขอให้โชคดีมีชัย มีความสุขกับสิ่งที่เลือกเรียนนะ จุบุ ๆขอขอบคุณภาพปกจาก : https://www.canva.com / ภาพที่ 1 : https://pixabay.com / ภาพที่ 2 : https://pixabay.com / ภาพที่ 3 : https://pixabay.com / ภาพที่ 4 : https://pixabay.com / ภาพที่ 5 : https://pixabay.com / ภาพที่ 6 : https://pixabay.com / ภาพที่ 7 : https://pixabay.com และภาพที่ 8 : https://pixabay.com