เมื่อพูดถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วหละก็ ภาพแรกในความรับรู้ของผู้คนทั่วไป คงหนีไม่พ้นภาพขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ยอดทองคำที่สูงเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองเป็นแน่ พระบรมธาตุเจดีย์ ประดิษฐานเป็นพระเจดีย์ประธานภายในวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ตั้งอยู่ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีสถานะเป็นแหล่งโบราณสำคัญของจังหวัด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม นอกจากนั้นยังถูกเชิญไว้เป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดนครศรีธรรมราชอีกด้วย เรียกได้ว่า การไปวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร เสมือนว่าได้เดินทางไปถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ภาพของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่รู้จักกันในอีกสรรพนามว่าเป็น "เมืองพระ" นั้น ก็แทรกซึมกระจายอยู่ภายในบริเวณวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารอยู่นั่นเอง การทำความรู้จักกับวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จึงเท่ากับได้รู้จักจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่นอกจากสิ่งละอันพันละน้อยทั่วไปซึ่งคนส่วนใหญ่รับรู้อยู่แล้ว มีเรื่องเฉพาะซึ่งเป็นเอกลักษณ์และมรดกทางภูมิปัญญาล้ำค่าที่คุณอาจจะยังไม่รู้อยู่ก็เป็นได้ อย่างน้อยก็ 7 เรื่องต่อไปนี้ 1. ศักดิ์สิทธิ์ไร้เงาเป็นเรื่องเก่าเล่ากันนานมาเป็นมุขปาฐะว่าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ที่เมืองนครศรีธรรมราชนี้ "ทรงพระปาฏิหาริย์บันดาลเหตุ อาเพทให้เห็นซึ่งพระฉาย ถ้าอยู่ดีมิได้เห็นเป็นอันตราย เงานั้นหายไม่ได้เห็นเป็นธรรมดา" หมายความว่าถ้าบ้านเมืองอยู่เป็นปกติสุข พระบรมธาตุเจดีย์จะไร้เงา แต่เมื่อเกิดทุกข์เข็ญจะบังเกิดเป็นเงาขึ้น ข้อนี้ได้มีผู้ไขข้อสนเท่ห์ที่ย้อนแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ไว้อย่างน่าสนใจว่า คำว่า "พระธาตุไร้เงา" ที่เชื่อกันแต่เดิมนั้น พระธาตุ หมายถึงพระบรมสารีริกธาตุ อันประดิษฐานอยู่ภายในองค์พระบรมธาตุเจดีย์ จึงไม่มีทางที่หากพระเจดีย์เป็นปกติแล้วพระธาตุจะมีเงาไปอย่างไรได้ เว้นเสียจะแตกหักทำลายลง จนพระบรมสารีริกธาตุภายในนั้นเสด็จออกมาต้องแสงแดดปรากฏเงา และหากเป็นอย่างนั้น ก็คงตรงกับที่โบราณว่าคือเกิดอาเพทแก่เมืองนครศรีธรรมราชไม่พ้นได้ ความหมายของคำว่า "พระธาตุ" จึงลึกซึ้งกว่าการชี้ไปที่ "เจดีย์" อย่างที่เราเข้าใจกันอยู่เดี๋ยวนี้ 2. ทวารบาลมากที่สุดในโลกทวารบาล แปลว่า ผู้ดูแลรักษาประตู มักพบเห็นในเกือบทุกศาสนสถาน ซึ่งมีจำนวนนับเป็นเลขคู่แบ่งกันเฝ้าอยู่ซ้าย - ขวา โดยทั่วไปใน 1 ประตูมักมี 1 คู่ หรืออย่างมาก 3 แต่ที่นี่โดยเฉพาะประตูทางขึ้นลานประทักษิณ ภายในพระวิหารพระทรงม้า พบว่ามีถึง 8 คู่ ซึ่งอาจจะมากที่สุดในโลก เหตุที่ต้องมีมากก็เพราะเมื่อล่วงผ่านประตูไปจะเป็นเขตสำคัญที่สุดนั่นก็คือชั้นทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ทั้ง 8 คู่นั้นได้แก่ ครุฑ 1, ยักษ์ 1, พญานาค 1, คนทรรพ์ 1, สิงห์ 3 และ เทวดา 1 3. ที่มาของชื่อตัวตลกหนังตะลุงพูดถึงหนังตะลุง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ หลายคนคงรู้จักและเคยได้ยินได้เห็นผ่านตาตัวละครอย่าง เท่งและหนูนุ้ย กันเป็นลำดับต้นๆ แต่มีตัวละครสำคัญตัวหนึ่งฝ่ายตลกที่มักพบเห็นว่าเป็นข้าราชบริพารของเจ้านายในเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ อยู่เสมอนั่นคือ "ยอดทอง" นายยอดทอง มีลักษณะรูปร่างสันทัด พุงโล ก้นโด่ง ผมหยิก นุ่งผ้ายกเป็นโจงกระเบน มือหนึ่งถือกริช อีกข้างชี้นิ้ว ชื่อของนายยอดทอง มาจากลักษณะเด่นขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ ที่มีส่วนยอดหุ้มด้วยทองคำ นอกจากนี้ นายยอดทองยังถูกอุปโลกให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาวนครศรีธรรมราชพื้นถิ่นได้อย่างดี ทั้งลักษณะนิสัย การงาน บุคลิกท่าทาง และการแต่งกาย 4. เสาเอนเข้าหากันหากไปยืนตรงหน้าพระวิหารหลวง ท่ามกลางความตื่นตาของการเป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ คำถามที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างแรกคือ ทำไมเสาจึงเอียง ? ลักษณะแบบนี้เรียกตามอย่างช่างท้องถิ่นเมืองนครศรีธรรมราชว่า "การสอบเสา" เป็นเทคนิคพิเศษในการเพิ่มสมรรถนะของเสาจากการต้องแบกรับน้ำหนักของเครื่องบนที่เป็นหลังคาไม้สักทอง 3 ชั้นเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าจะสามารถรับน้ำหนักได้ดีกว่าเสาตรง 5. พระอินทร์สี่หน้าหน้าบันพระวิหารหลวง ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ทิศตะวันตกเป็นพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค ความแปลกอยู่ที่งานสลักไม้รูปพระอินทร์ซึ่งตามหลักประติมานวิทยานั้นมีหน้าเพียงหน้าเดียว แต่กลับพบว่ามีถึง 4 หน้า ข้อนี้มีผู้พยายามไขความไปนานาประการ บ้างก็ให้เกี่ยวข้องกับรูปการณ์เมื่อแรกบูรณะพระวิหารหลวงครั้งใหญ่เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ บ้างก็โยงเข้าความสอดคล้องของสถานะแห่งพรหม อย่างไรก็ดี ในชั้นนี้อาจมองเห็นถึงความเป็นอิสระจากกรอบจารีตที่ช่างพื้นถิ่นต้องการนำเสนอผ่านงานศิลปะของตนเองในช่วงยุคสมัยหนึ่งก็เป็นได้ 6. ภาพเต่าเล่าเรื่องหากมององค์พระบรมธาตุเจดีย์ด้วยตาเปล่า จะเห็นสีอย่างน้อย 4 สี คือองค์พระเจดีย์เป็นสีขาวนวล ยอดสุดเป็นทองคำ มีจุดฟ้าบ้างน้ำเงินบ้างที่บัลลังก์ 4 เหลี่ยม และเส้นรอบสีแดงที่ส่วนล่างสุดของปล้องไฉน ส่วนท้ายสุดนี้เรียกว่า "มาลัยก้านฉัตร" ซึ่งถ้าหากได้ใช้กล้องส่องทางไกลซูมดูจะพบว่าเป็นประติมากรรมรูปหงส์ในอากัปกิริยาต่างๆ เล่าไปเป็นเรื่องได้ความว่าคือชาดกชื่อ "กัจฉปชาดก" ว่าด้วยหงส์ 2 ตัว เป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งนึกอยากจะชวนเพื่อนอีกสายพันธุ์คือเต่าออกไปน้ำตก เต่าว่าตัวบินไม่ได้จึงออกอุบายให้หงส์เอาไม้ขนาดพอเหมาะแข็งแรงคาบไว้ข้างละตัว แล้วเต่าจะใช้ปากคาบไปตรงกลาง เมื่อหงส์บิน เต่าจะได้พลอยโดยสารขึ้นไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น ขณะทั้งโขยงลอยข้ามทุ่งนา เด็กเลี้ยงควายเห็นเป็นเรื่องแปลกจึงร้องทักขึ้นชมหงส์ทำนองว่าเก่งจริง พาเต่าบินได้ด้วย จึงเป็นเรื่อง เพราะเจ้าเต่าผู้ต้นคิดพาลโกรธอ้าปากจะตวาดเด็กพวกนั้น แต่ไม่ทันได้ทำตามที่ใจนึกก็ตกลงมากระดองแตกตาย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เต่าเมื่ออ้าปากจะพูดก็ฆ่าตัวตายเสียแล้ว" ชาวนครโบราณจึงสอนเรื่องการพูดไว้เป็นนักหนา จนไปปรากฏมีอยู่ที่องค์พระบรมธาตุเจดีย์ 7. บาตรพระพุทธมนต์ยอดพุ่มข้าวบิณฑ์ยอดสุดขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ประดิษฐานพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือ กรงแก้ว หรือสาแหรกแก้ว ร้อยรัดอัญมณีและแก้วธรรมชาติเป็นรูปทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ถือเป็นงานประณิตศิลป์พุทธบูชาล้ำค่ายิ่ง ยอดสุดประดิษฐานบาตรน้ำพระพุทธมนต์ไว้เป็นคติ ว่าเมื่อฝนตกก็เติมเต็มลงในบาตรนั้น ครั้นแดดออกแล้วน้ำในบาตรจะระเหยไปรวมกับกลุ่มเมฆก่อนจะควบแน่นตกลงมาเป็นฝนอีกคราวหนึ่ง เช่นนี้จึงถือว่าฝนที่ตกถูกต้องตัวพุทธศาสนิกชนในวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารนี้ คือน้ำพระพุทธมนต์นั่นเองความมหัศจรรย์ที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าคือการรู้คุณค่า เหตุ และที่มาของคำว่ามหัศจรรย์(ภาพภ่ายโดยผู้เขียน)(ปก : ภาพองค์พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ถ่ายโดยผู้เขียน)