ภาพปก https://pixabay.com/ ในปัจจุบันเราอาจปฏิเสธไม่ได้กับแนวทางการบริหารของรัฐที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง และอาจมองเป็นสองฝักสองฝ่าย ส่วนหนึ่งที่เชียร์รัฐบาลอยู่เป็นทุนเดิม ก็คงบอกว่ารัฐเองก็ทำอย่างเต็มที่แล้ว เพราะถ้ามองจากตัวเลขผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้สูงอย่างหลายประเทศ แต่อีกฝ่ายของขั้วการเมืองก็อาจมองได้อีกเหมือนกัน ว่าภายใต้การบริหารอยู่นี้ ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เพราะหากดูจากแนวโน้มและทิศทางแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อก็ยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ บทความนี้ไม่ได้มากล่าวหาหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งนั้น สิ่งที่ผมอยากบอกคือ ร่วมกันเดินไปข้างหน้า ช่วยกันแก้ไขปัญหาดีกว่ามานั่งถกเถียงกันกล่าวหากันไปมาว่าใครผิด ผมเลยใคร่ขอรวบรวมสิ่งที่รัฐควรต้องทำต่อจากนี้เป็นข้อ ๆ ก่อนที่มันจะสายเกินแก้ https://pixabay.com/ 1. สร้างความเข้าใจ คือเราต้องรู้ก่อนว่าเราต่อสู่อยู่กับอะไร โดยกลุ่มไวรัสโคโรน่านั้นถูกพบครั้งแรกเมื่อตั้งแต่ปี 1960 แต่การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ที่เมืองฮูอัน ประเทศจีนนั้น นั่นเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แน่นอนเมื่อมันเป็นโรคใหม่แม้แต่ทางการแพทย์ก็เข้าใจเกี่ยวกับโรคด้วยเงื่อนไขและข้อมูลที่จำกัด แต่กับเรื่องพื้นฐาน รัฐก็ควรสื่อให้คนทั่วไปเข้าใจมากที่สุด อย่างเช่น การแพร่กระจายของเชื้อ อาการของโรค วิธีการรับมือ วิธีการรักษา เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ 2. การสื่อสารที่ชัดเจน ถึงยังไงรัฐต้องทำให้คนตื่นตัวมากที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องไม่ให้ผู้คนตื่นกลัว แต่ผลที่ออกมายิ่งรัฐเหมือนพยายามสร้างความคลุมเครือมากเท่าไหร่ ยิ่งจะกระจายความตื่นตระหนกของคนเข้าไปอีก หรือเหมือนอย่างมาตรการหยุดงาน ที่ต้องการให้คนอยู่แต่ในบ้านพักของตัวเองเพื่อกักกันการแพร่กระจายของโรค กลับกลายเป็นการปล่อยคนในกลุ่มเสี่ยงในกรุงเทพ ให้ยิ่งขยายไปสู่วงกว้างแทน สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนทั้งนั้น https://pixabay.com/ 3. สร้างความมั่นใจ อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดกับสิ่งที่ตามมาของโควิด-19 ก็คือความไม่มั่นใจของประชาชนในสภาวะที่เป็นอยู่ เราจึงเห็นบริษัทประกันที่กำลังออกมาแข่งขันกันค่อนข้างสูง จริง ๆ การสร้างความมั่นใจของคนในสังคมนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐโดยตรงครับ ก่อนหน้านี้ก็ได้มีความคิดเห็นของนักวิชาการหลาย ๆ ท่าน ที่ว่ารัฐควรตัดงบประมาณส่วนอื่นที่ไม่จำเป็นก่อน แล้วเอามาช่วยในส่วนที่สำคัญที่สุดในช่วงวิกฤติโควิด-19 โดยเฉพาะการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในสภาวะแบบนี้ 4. รับฟัง ณ เวลานี้รัฐควรเปิดใจให้กว้างครับไม่ว่าฝ่ายไหน อาจไม่ต้องทำตามทุกความคิดเห็น แต่ต้องรับฟังทุกความคิดเห็นให้มากที่สุด ยิ่งหลายคนช่วยกันคิดจะทำให้เห็นมิติในการมองที่เป็นภาพรวมมุมกว้างมากยิ่งขึ้น ที่ผมว่าไม่ใช่แค่ความคิดเห็นของนักวิชาการนะครับ แต่ทุกคนที่หมายถึงทุกคนจริง ๆ เหมือนอย่างรัฐที่ต้องการให้ผู้คนกักตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่คนไร้บ้านที่ไร้บ้านอยู่ล่ะ หรือคนชั้นล่างของสังคมที่ต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องวันต่อวัน แล้วคนเหล่านี้จะกักตัวอยู่แต่ในบ้านด้วยสภาวะที่ไร้ปัจจัยอะไรสักอย่างได้อย่างไร ดังนั้นนี้่เป็นตัวอย่าง ว่ารัฐบาลต้องฟังเสียงของคนรากหญ้าด้วยเช่นกันก่อนจะวางมาตรการอะไรออกมา https://pixabay.com/ 5. ถอดบทเรียน คงไม่ต้องมองที่อื่นไกล จากการปิดเมืองของจีนที่ได้ผลจนเป็นที่น่าพอใจ แต่ทำไมการปิดเมืองของเรากลับกลายเป็นเหมือนสิ่งที่ล้มเหลว แน่นอนการปิดเมืองเป็นการสกัดกั้นโรคที่ได้ผล เพราะหากมองย้อนไปในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) หรือไข้ทรพิษระบาด มาตรการการปิดเมืองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โลกเราผ่านวิกฤติครั้งนั้นมาได้ แต่วิธีการการปิดเมือง นั่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจ นี่ยังไม่รวมปัญหาอีกหลายอย่างเหมือนอย่างในยุโรปที่จะตามมาอีกแน่นอน อย่างเช่น ปัญหาคนล้นโรงพยาบาล ปัญหาของคนที่ไม่ยอมกักตัวตามมาตรการของรัฐ เป็นสิ่งที่รัฐต้องมองเผื่อเอาไว้ด้วย 6. วิวัตนาการทางการแพทย์ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าทางการแพทย์เองก็เข้าใจเกี่ยวกับโรคด้วยเงื่อนไขที่จำกัด แต่ก็เชื่อว่าทุกภาคส่วนฝ่ายวิจัยก็เร่งมือกันอย่างเต็มที่เพื่อคิดค้นหาวัคซีนป้องกัน ตรงนี้รัฐเองก็มีส่วนสำคัญครับที่จะประสานงานผลัดเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันของเหล่านักวิจัยของทุกประเทศให้มากที่สุด 7. สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมันไม่ได้อยู่ที่ภาครัฐหรือใครคนใดคนหนึ่งทั้งนั้น แต่มันอยู่ที่เราทุกคน ซึ่งทุกอย่างจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ ถ้าทุกคนในสังคมไม่ร่วมมือกัน https://pixabay.com/ ตอนนี้ ณ ปัจจุบันที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ (26 มีนาคม 2563) รัฐบาลได้ประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว รวมถึงกำลังจะเปิดให้แรงงานนอกระบบมาลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 5 พัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ผมมองว่ารัฐกำลังมาถูกทางแล้วครับ เพียงแต่ยังต้องปรับปรุงให้ครอบคลุมกับทุกคนในสังคมอีกสักหน่อย เช่น แล้วแรงงานที่อยู่ในระบบล่ะ หรือการรับประกันกับผู้ป่วยที่หากได้รับเชื้อเกิดติดโรคขึ้นมา เหล่านี้เป็นต้น ในหมากเกมนี้ยังมีโจทย์อีกหลายข้อครับที่จะตามมา และอย่างที่บอก ไม่ใช่เพียงแต่รัฐที่ต้องหาคำตอบ แต่เป็นเราทุกคนที่ต้องร่วมกันจับมือแล้วฝ่าไปด้วยกัน