ทักษะจำเป็นในชีวิตประจำวัน ก็คือ การฟัง พูด อ่าน เขียน วันนี้ผู้เขียนมาชวนคุยเกี่ยวกับทักษะหนึ่งในสี่อย่างที่ถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญ คือ ทักษะในการอ่าน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเรียน การทำงาน การเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจในศาสตร์อื่นๆ ย่อมเริ่มต้นจากการอ่าน แต่บางคนรู้สึกว่า อ่านเท่าไรก็จำไม่ค่อยได้ อ่านแล้วผ่านเลยไป หรือข้อมูลสำคัญๆ ตกหล่นจากความทรงจำไป ปัญหานี้มีวิธีแก้ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นทักษะแสดงว่าเราสามารถฝึกฝนได้ ผู้เขียนมีเทคนิคการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้จดจำข้อมูลที่อ่านได้ดียิ่งขึ้นมาฝากค่ะเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการอ่านสิ่งแรกที่นักอ่านทุกคนต้องรู้คือ “ทำไมเราถึงอ่านสิ่งๆนี้อยู่” และ “อ่านไปเพื่ออะไร” เช่น ตอนนี้คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ เพราะคุณอยากได้เทคนิคการอ่านให้จำแม่นและเข้าใจ เมื่อสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เราจะรู้จุดมุ่งหมายและรู้ว่าเราต้องการสาระสำคัญอะไรจากสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ และหนังสือนี้ตอบโจทย์ที่เราต้องการหรือไม่ เทคนิคของผู้เขียนคือ การอ่านภาพรวมจากสารบัญ คุณจะได้ภาพรวมของหนังสือทั้งหมด และช่วยในการตัดสินใจได้ว่าควรอ่านต่อหรือไม่ประสิทธิภาพในการอ่านของแต่ละคนขึ้นกับเวลาที่อ่าน"วิธีการอ่านหนังสือของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และช่วงเวลาในการอ่านหนังสือที่ดีของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกันด้วย” เพราะบางคนอาจจะอ่านในเวลาตอนเช้า หรือตอนกลางวัน หรือตอนเย็น แล้วสามารถเข้าใจได้ไม่เท่ากัน ลองหันมาพิจารณาพฤติกรรมของเราก่อนเลยว่า อ่านเวลาไหนแล้วจำได้ เข้าใจได้เร็ว ตัวผู้เขียนเองเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือตอนเช้ามืด ประมาณตีห้าครึ่งถึงหกโมง เพราะเงียบสงบ ไม่มีใครรบกวน เวลาที่เหมาะสมนอกจากที่จะช่วยทำให้เราเข้าใจกับเนื้อหาที่อ่านไปแล้ว ยังทำให้เราไม่ต้องใช้พลังสมองไปเกินไปอีกด้วย แถมยังได้มีเวลาในการผ่อนคลายอีกด้วยเริ่มต้นด้วยการสแกนเนื้อหาคร่าว ๆก่อนจะตั้งใจอ่านคำต่อคำ ประโยคต่อประโยค อยากให้ลองกวาดสายตามองสิ่งที่อ่านอยู่คร่าวๆ ก่อน หรือที่หลายคนรู้จักเทคนิคนี้ว่า Skimming วิธีง่าย ๆที่ผู้เขียนใช้อยู่คือ ลองจับจุดสำคัญๆ เช่น หัวข้อหลัก หัวข้อย่อย รูปภาพประกอบ กราฟต่าง ๆ ที่อยู่ในบทความ และคำสำคัญหรือ keyword ที่ส่วนใหญ่มักปรากฏอยู่ในย่อหน้าแรกและท้ายบทความนั้นเอง วิธีนี้จะช่วยให้เราจับใจความสำคัญของสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ได้ดีฝึกเทคนิคการใช้สายตาในการโฟกัสการอ่านการอ่านโดยการไล่โฟกัสสายตาจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งนั้นมีผลต่อความจำและประสิทธิภาพในการอ่าน สิ่งที่อยากจะแนะนำคือ เมื่อเริ่มต้นอ่านจริงจัง ให้มองทุกประโยคและองค์ประกอบในหน้านั้น (ต่างจากการ skimming) และในการโฟกัสสายตาเพื่ออ่าน ให้มองเห็นคำศัพท์แวดล้อมรอบ ๆ หลายๆ คำด้วย ไม่ใช่การอ่านโดยการมองทีละคำ วิธีนี้มีข้อดีคือ จะช่วยให้การอ่านเนื้อหาของเรามีความลื่นไหล ต่อเนื่อง และเพิ่มความเข้าใจเนื้อหามากขึ้นใช้การไฮไลท์หรือจดโน้ตวิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กัน ไม่เฉพาะเหล่านักเรียนนักศึกษาเท่านั้น การจดโน้ต หรือใช้ปากกาสีสันต่างๆ ขีดเน้นในจุดที่คิดว่าสำคัญ วิธีนี้ช่วยดึงดูดความสนใจ และช่วยให้เราสามารถจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้นลองหัดคิดเป็นภาพเนื่องจากการคิดเป็นภาพจะทำให้จดจำได้ง่ายกว่าคำศัพท์ การอ่านและคิดภาพในใจช่วยให้สามารถเรียกความทรงจำของข้อมูลช่วงนั้นภายหลังได้ง่ายกว่า เช่น การทำ Mind map หรือคิดเป็นเรื่องราวของตัวเองที่คล้ายคลึงกับเรื่องที่เราอ่าน เอามาเชื่อมโยงกัน ก็จะจำได้ดีขึ้นค่ะควรทบทวนสิ่งที่อ่านไป ด้วยการจดบันทึกสรุปสิ่งที่ได้จากการอ่านหลังอ่านเสร็จในแต่ละบท หรือแต่ละเล่ม ลองเรียกความทรงจำในสิ่งที่อ่านไป คำสำคัญในแต่ละหัวข้อ อาจจะลองเขียนเป็นแผนภาพสรุปความเชื่อมโยงเพื่อให้รู้ตัวว่าจดจำได้มากน้อยเพียงใด เช่น การสรุปเป็น One page ถือเป็นการฝึกสรุปความคิดได้เป็นอย่างดี ยิ่งอ่าน ยิ่งเขียน ยิ่งจำได้ค่ะเริ่มอ่านเมื่อมีสมาธิการพยายามอ่านขณะที่มีสิ่งรบกวนหรือไม่มีสมาธิค่อนข้างเสียเวลาเปล่า ดังนั้นควรสร้างบรรยากาศในการอ่านให้เราสามารถจดจ่อและตั้งใจกับสิ่งที่อ่านได้จริงๆ เช่น อ่านในห้องส่วนตัว หรือสถานที่ที่เงียบสงบ บางคนชอบอ่านในร้านกาแฟที่มีเพลงบรรเลงเบา ๆ ผู้เขียนชอบอ่านในสวนค่ะ ที่ ๆ มีต้นไม้ เงียบ ๆ ลมเย็นแบบธรรมชาติ นั่นคือที่สุดของบรรยากาศการอ่านที่จะทำให้เกิดสมาธิเลยค่ะรู้เคล็ดลับอย่างนี้แล้ว การอ่านหนังสือในครั้งหน้าอย่าลืมเอาไปทดลองใช้กันนะคะ รับรองว่า คุณจะอ่านหนังสือได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นค่ะภาพทั้งหมดจาก unsplash.com ภาพที่ 1 Blaz Photo / ภาพที่ 2 Thought Catalog / ภาพที่ 3 Clayton Robbinsภาพที่ 4 Finde Zukunft/ ภาพปก Alfons Moralesเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !