(ภาพปกจาก www.freepik.com) สวัสดีครับผู้อ่านทุกคน ปัจจุบันต้องยอมรับว่าค่านิยมในการศึกษาของคนไทยเน้นไปในทางสายสามัญมากกว่า มีลูกหลานก็อยากจะให้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมเพื่อจะได้ไปต่อมหาวิทยาลัย แต่จริง ๆ แล้วการเรียนในสายสามัญนั้นไม่ได้เหมาะกับเด็กทุกคน บางคนเขามีความถนัดที่แตกต่างกัน หรือเด็กบางคนอาจจะมีความสนใจที่จะเข้าไปเรียนในสายช่าง แต่ยังไม่รู้ว่าหากเข้าไปเรียนแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง สังคมเป็นแบบไหน วันนี้ผมเลยจะมาแชร์ 9 ข้อควรรู้ ก่อนคิดเรียนช่าง โดยทั้งหมดเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยผ่านการเรียนช่างในสถาบันแห่งหนึ่งมา จึงอยากจะมาแชร์ให้คนที่กำลังสนใจได้อ่านกัน จะมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย (ภาพถ่ายโดย Artem Beliaikin จาก Pexels)1.เรียนช่างต้องอดทนและแข็งแรงหากคิดจะมาเรียนช่างแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมมาเลยคือความอดทนและแข็งแรง เนื่องจากวิชาเรียนแต่ละวิชานั้นเน้นไปในทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี ยกตัวอย่างเช่นวิชางานตะไบ วิชานี้จะป็นวิชาที่ต้องยืนตะใบเหล็กให้เป็นชิ้นงานที่อาจารย์ได้สั่ง ทั้งวัน ซึ่งห้ามใช้เครื่องจักรใด ๆ ช่วยทั้งนั้น งาน 1 ชิ้นจะกินเวลาไป 1 เทอมเลยทีเดียว ซึ่งมั่นใจว่าคนเรียนช่างทุกคนนั้นต้องผ่านวิชานี้ หากคุณไม่มีความอดทนแล้วละทิ้งงานละก็ งานไม่เสร็จทันส่งรับรองว่าได้ 0 ไปแน่นอน (ภาพถ่ายโดย Malte luk จาก Pexels)2.เด็กช่างไม่ได้เกเรทุกคน จากภาพลักษณ์ของเด็กช่างนั้นที่ออกไปในทางไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ทำให้ผู้ปกครองบางคนไม่กล้าที่จะปล่อยลูกหลานมาเรียน ขอบอกก่อนเลยว่าในทุกสังคมนั้นล้วนมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันอยู่ เด็กช่างก็เหมือนกัน ที่บางคนคิดว่าต้องเกเรเหมือนกันหมด แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีคนที่ดีปะปนอยู่ อยู่ที่ว่าเมื่อเราเข้าไปเรียนแล้วเราเลือกจะเข้าไปอยู่ในสังคมแบบไหน (ภาพถ่ายโดย Kobe Michael จาก Pexels)3.เรียนช่างสามารถเทียบโอนไปเรียนปริญญาตรีได้หากเรากำลังเรียนอยู่ในระดับ ปวส. แล้วอยากคิดที่จะเรียนต่อในระดับปริญญาตรีก็สามารถทำได้ ซึ่งมีมหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรเทียบโอนก็มี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ราชภัฎ ทั่วประเทศ (ภาพถ่ายโดย ThisIsEngineering จาก Pexels)4.เด็กช่างเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กมัธยมการเรียนการสอนของอาชีวะเป็นระบบการเรียนคล้าย ๆ กับมหาวิยาลัย ซึ่งจะเข้าจะออกตอนไหนก็ได้ จะเข้าเรียนหรือไม่เข้าก็ไม่มีอาจารย์มาตาม และพอขึ้น ปวช. ปี 3 แล้วก็ต้องออกไปฝึกงานในสถานประกอบการจริง ๆ เจอกับหัวหน้างาน สั่งงานจริง ๆ สิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เด็กช่างทุกคนนั้นมีความรับผิดชอบเร็วขึ้น (ภาพถ่ายโดย Kateryna Babaieva จาก Pexels)5.มีสาขาให้เลือกเรียนที่หลากหลายจริง ๆ แล้วการเรียนช่างไม่ได้มีแค่ ช่างกล ช่างยนต์แค่นี้ แต่ยังมี ช่างเทคนิคอุตสาหกรรม ช่างเชื่อม ช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิก ช่างสถาปัตยกรรม ช่างเขียนแบบเครื่องกล และอีกหลายสาขามากมาย ซึ่งหากคุณเรียนจบมาแล้ว คุณก็สามารถไปทำงานได้เลย ต่างจากการเรียนมัธยมที่ต้องไปต่อมหาวิทยาลัยก่อน (ภาพถ่ายโดย Rodolfo Quirós จาก Pexels)6.เรียนช่างตัวเปื้อนแน่นอนหลักสูตรการเรียนของเด็กช่างนั้นเน้นไปในทางปฏิบัติ ดังนั้นเวลาเข้าเรียนวิชาปฏิบัติทั้งหลายต้องเจอกับคราบสกปรกแน่นอน เช่น วิชาช่างยนต์ที่ต้องอยู่กับพวกน้ำมันเครื่อง วิชาตะใบที่ต้องอยู่ในโรงงานร้อน ๆ และเศษเหล็ก ทำให้มีคำคมที่ว่า เด็กช่างเปื้อนฝุ่น คงไม่กอดอุ่นเท่าเด็กมัธยม (ภาพถ่ายโดย 祝 鹤槐 จาก Pexels)7.อาจารย์ดุใครที่ชอบอาจารย์พูดเพราะ ๆ พูดหวาน ๆ คงไม่ชอบใจแน่นอน เพราะอาจารย์ส่วนมากจะเป็นผู้ชายออกแนวแมน ๆ ภาษาที่ใช้ก็ส่วนมากก็เป็นสมัยพ่อขุน ก็เพราะต้องคอยคุมเด็กช่างที่มีความแสบอยู่แล้วให้อยู่ในระเบียบ วินัย ไม่งั้นเอาไม่อยู่ (ภาพถ่ายโดย Chevanon Photography จาก Pexels)8.เรียนช่างไม่ง่ายหลายคนคิดว่าการเรียนของเด็กช่างนั้นง่าย ใครเรียนก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะการเรียนช่างนั้นเป็นการสอนให้สามารถนำไปทำงานได้จริง เน้นการทำงานจริง ไม่ใช่การเรียนเพื่อไปสอบเท่านั้น ดังนั้นหากเด็กจบไปไม่มีคุณภาพก็ไม่สามารถที่จะมีทักษะไปประกอบอาชีพได้ (ภาพถ่ายโดย Kevin Bidwell จาก Pexels)9.จบแค่ ปวช.ก็ทำงานได้เด็กช่างต่างจากเด็กมัธยมคือ เด็กมัธยมหากจบม.6แล้วไม่ไปเรียนต่อก็แทบไม่มีความหมายเลย เพราะไม่มีวิชาชีพที่จะไปประกอบอาชีพได้ ต่างจากเด็กช่างซึ่งจบแค่ ปวช.ก็มีทักษะความรู้เฉพาะด้านไปทำงานแล้ว ยิ่งถ้าเรียนต่อไปในระดับ ปวส. ปริญญาตรีแล้ว ความรู้ในด้านนั้น ๆ ก็จะแน่นขึ้นไปอีก ทำให้มีความเชียวชาญในสาขาอาชีพนั้น ๆ เป็นไงกันบ้างครับ นี่ก็เป็น 9 ข้อที่ผมได้สัมผัสมาตลอดเวลาการรเรียนในสายช่าง ยังไงแล้วหากคนไหนที่กำลังสนใจอยู่ก็สามารถนำไปเป็นส่วนในการตัดสินใจเรียนได้ครับ ไม่ว่าจะเรียนสายไหน จริง ๆ แล้วล้วนมีประโยชน์กันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะสามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมามาใช้ได้หรือเปล่า สำหรับวันนี้ก็ขอตัวลาไปก่อน สวัสดีครับ