ไปเที่ยววังเวียงกันค่ะ หลังจากใช้เวลาเต็มอิ่มกับหลวงพระบางมา7วัน ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปเมืองวังเวียงแล้วจ้า ซึ่งเป็นเมืองคนละแบบกันเลยกับหลวงพระบาง รอบนี้ฉันจะเดินทางไปกับรถตู้ค่ะ เพื่อจะได้สัมผัสเส้นทางคดโค้งน่าหวาดเสียวแต่วิวเกินร้อย โดยให้จนท.โรงแรมจองรถตู้ให้ราคา 100,000 กีบจ้า และนัดให้รถมารับตอนบ่ายโมง ซึ่งก็มารับตรงเวลาแต่ก็พาเราเวียนไปรับผู้โดยสารตามจุดต่างๆอีกหนึ่งชม.เต็มๆ และเมื่อจัดผู้โดยสารไม่ลงตัวก็จับย้ายผู้โดยสารแบ่งไปคันโน้นนี้ และตัวฉันซึ่งมาคนเดียวก็ถูกย้ายไปคันอื่นเช่นกัน สนุกดีค่ะ กับวิถีชีวิตการเดินทางในสปป.ลาว เส้นทางตัดใหม่จากหลวงพระบาง-วังเวียง มีระยะทาง 183กม. แต่เพราะทางคดโค้งและลาดชัน ทำให้ต้องเผื่อการเดินทางไว้ถึง5 ชม. และจะพักรถหนึ่งครั้งเพื่อให้เข้าห้องน้ำและชมวิวที่เมืองกาสีค่ะ ฉันถูกจัดให้นั่งหน้าระหว่างคนขับและผู้โดยสารอีกคน แม้จะนั่งอึดอัดแต่ก็มองในแง่บวกว่าได้ชมวิวสวยและไม่ต้องเมารถ ซึ่งก็โชคดีจริงๆ เพราะเมื่อรถออกได้สักชั่วโมง เด็กหนุ่มชาวยุโรปที่นั่งด้านหลัง ตะโกนให้ช่วยจอดรถ เพื่อออกมาอ้วก ฉันนั่งชมวิวด้วยความตื่นตาตลอดเส้นทางที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน และบางช่วงเป็นทุ่งนาแสนสวย แนะนำเลยค่ะ ถ้าใครชอบดูวิวที่งดงามสองข้างทาง ไม่ควรพลาดเส้นทางสายนี้ แต่ไม่ควรขับรถเองค่ะ ควรใช้บริการเจ้าของพื้นที่ เพราะเขาชำนาญทุกโค้งและรู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อ คนขับเล่าว่าทุกหน้าฝนจะมีดินภูเขาถล่มลงมา และถนนจะลื่นมากแถมยังเป็นหุบเหวอีก ฟังแล้วก็หวาดเสียว โชคดีที่ฉันเดินทางปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านหน้าฝนไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นร่องรอยตลอดเส้นทาง รถวิ่งมาได้สองชม.ก็จอดให้เราพักชมวิวเข้าห้องน้ำที่ยอดภูเก้าหลักเมืองกาสีค่ะ ซึ่งจุดนี้สูงประมาณ2,000 เมตร ฉันเดินไปถ่ายรูปวิวภูเขาสลับซับซ้อน แต่เพราะเป็นหน้าหนาว แม้จะสี่โมงเย็น แต่บรรยากาศก็มืดๆมัวๆและหมอกก็กระจายไปทั่ว เมื่อกลับไปที่รถ ผู้โดยสารที่นั่งติดกันก็เดินมาบอกว่า เดี๋ยวจะต้องเปลี่ยนรถอีกแล้ว ฉันใจหายแวบ รีบถามกลับว่า only me หรือ เขาบอกว่าทุกคนในรถเลย เฮ้อโล่งอกไป ก็มันจะมืดแล้ว บรรยากาศก็วังเวง ก็เลยกังวลนิดหน่อย คิดในใจว่า รู้งี้เดินทางมาตั้งแต่เช้าน่าจะดีกว่า หันไปดูเห็นคนขับรถตู้ทั้งสองคันกำลังจอดเทียบกันและขนย้ายกระเป๋าสลับคันให้ผู้โดยสาร เมื่อขึ้นรถคันใหม่ จึงถามคนขับคนใหม่ว่าเปลี่ยนรถทำไม เขาบอกว่าโชเฟ่อร์ทั้งสองจะได้ขับรถกลับไปพักที่บ้านตัวเอง ไม่ต้องไปจ่ายค่าที่พักค่าอาหารอีกเมืองหนึ่ง อืมม ก็เป็นวิธีที่ฉลาดดีนะ คือแลกผู้โดยสารกัน ถือว่าวินวินทั้งสองฝ่าย ส่วนผู้โดยสารก็ได้ไปถึงที่หมายเหมือนเดิม นี่แหละคือวิถีที่น่ารักของคนลาว เกือบทุ่มรถก็มาถึงตัวเมืองวังเวียง จอดให้ลงแค่ที่เดียวค่ะ ปกติจะมีรถคล้ายสองแถววิ่งบริการส่งผู้โดยสารฟรีในตัวเมืองค่ะ แต่วันนี้ค่ำแล้ว ฉันเลยเปิดกูเกิล แมป แล้วเดินหาที่พักซึ่งจองผ่าน travelokaไว้ เดินสิบกว่านาทีก็เจอ เช็คอินเสร็จก็รีบออกมาหาอาหารเย็น แล้วรีบกลับห้องไปพักผ่อน เพราะเหนื่อยลุ้นมากับรถตลอดทาง มาวังเวียงรอบนี้ขอพักแบบเงียบๆและชิวๆกับการปั่นจักรยานชมวิว ส่วนแบบที่โหดๆนั้นค่อยพาลูกๆมารอบหลังค่ะ ตื่นเช้ามารีบไปเช่าจักรยานก่อนเลยค่ะ 20,000กีบต่อวัน แล้วปั่นข้ามสะพานแม่น้ำซองไปชมวิวภูเขาสวยๆก่อนทันที อากาศดียามเช้าแดดยังไม่ร้อนมาก ปั่นชมวิวไปได้เรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก มีร้านขายน้ำขายอาหารตลอดทางค่ะ แต่ฉันปั่นแค่เก้าโมงครึ่งก็รีบกลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมให้ทันก่อนครัวจะปิดตอนสิบโมง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ปั่นต่อไปสะพานส้มและถ้ำจังค่ะ ทุกสะพานและทุกสถานที่เที่ยวต้องจ่ายค่าเข้านะคะ ส่วนสะพานข้ามแม่น้ำซองก็ต้องจ่ายทุกครั้งที่ข้ามไป บางวันฉันข้ามสี่ห้าครั้ง ก็ต้องซื้อตั๋วใหม่ทุกครั้ง ใช้ตั๋วรายวันไม่ได้ค่ะ แต่ก็ยอมจ่ายเถอะนะ เพราะมันคุ้มค่ามากที่ได้ไปปั่นดูบรรยากาศสวยๆ ทั้งยามเช้า และยามเย็นที่พระอาทิตย์ตกดิน ใครที่ปั่นไม่ไหวก็แนะนำเช่ามอเตอร์ไซค์หรือรถบั้กกี้ค่ะ จะได้ไปไกลกว่าจักรยาน แล้วก็ขอแผนที่จากร้านเช่ารถไว้ด้วยค่ะ จะได้ไม่หลงทางและไม่พลาดจุดเที่ยวสำคัญ แต่เส้นทางในวังเวียงมีน้อยมาก ไม่หลงทางแน่นอนค่ะ ตกเย็นก็ไปนั่งกินส้มตำไก่ย่าง พร้อมชมวิวริมน้ำซอง ดูคนพายเรือไปมา อิ่มอาหารเย็นแล้วก็เข้าไปเดินถนนคนเดิน ซึ่งมีขายเสื้อผ้าอาหาร ของที่ระลึกมากมาย แต่ฉันเดินกินโรตีและน้ำปั่นแล้วก็กลับที่พัก นอนเอาแรงไว้ปั่นเที่ยวต่อพรุ่งนี้ ตื่นเช้ามาวันที่สองก็เหมือนเดิมคือปั่นจักรยานชมเมืองและออกไปชมตลาด ดูวิถีชีวิตของผู้คน ส่วนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็มักจะซื้อตั๋ว one day trip จากที่พัก หรือบริษัททัวร์ เพื่อไปล่องห่วงยางในถ้ำ พายเรือคายัค ไปบลูลากูน หรือจะเล่นzipline ซึ่งจองจากที่พักหรือจะเดินถามบริษัททัวร์ต่างๆได้ค่ะ มีให้adventure เยอะมาก แล้วแต่ใครชอบแบบไหน เดี๋ยวนี้วังเวียงเปลี่ยนไปมาก ฉันมาเมื่อ8ปีที่แล้วมีแต่วัยรุ่นญี่ปุ่น เกาหลีและยุโรป แต่ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวทุกวัย ทำให้ฉันไม่ค่อยรู้สึกเคอะเขินมากนัก เพราะเห็นป้าๆจากจีนและเกาหลีล่องเรือกันสนุกสนานเต็มแม่น้ำซองไปหมด มาวังเวียงรอบนี้ ตั้งใจพักแค่สามคืนแล้วก็จองรถตู้ราคา48,000กีบ เพื่อไปต่อที่เวียงจันท์ แต่พอจะเดินทางก็รู้สึกท้องใส้ไม่ค่อยดี เลยไปขอเลื่อนตั๋วเดินทาง น้องที่เป็นเจ้าของบริษัททัวร์และรับจองตั๋วรถชื่อร้าน VVTV น่ารักมากเลยค่ะ รับอาสาจะพาไปโรงพยาบาล แต่ฉันบอกว่าไม่เป็นไร กินยาแล้ว น้องเขาเลยบอกให้พัก ถ้าเดินทางไหวเมื่อไหร่ก็ติดต่อมา เขาพร้อมจะจัดเตรียมจองรถไว้ให้ น้ำใจมีมากจริงๆค่ะ ร้านน้องเขาอยู่ติดกับซากุระบาร์เลย แนะนำเพื่อนๆไปใช้บริการเขาได้ค่ะ เป็นมิตรมากๆ ตกลงฉันค้างวังเวียงอีกคืน และกลัวการดื่มน้ำปั่น และผลไม้ที่นี่ไปเลย เพราะหลายคนบอกว่า ผลไม้วังเวียงปลูกโดยคนจีนที่มาเช่าที่ดินของลาว และใช้สารเคมีอย่างรุนแรงมาก จริงเท็จยังไงไม่ทราบ แต่คนลาวหลายคนบอกอย่างนั้น มิน่าล่ะเวลาไปทานข้าวที่ร้านอาหาร เมื่อเขาแถมผลไม้มาด้วย ฝรั่งส่วนใหญ่จะไม่ทาน นักเดินทางพวกนี้เขาอ่านและศึกษาข้อมูลมาเยอะ เป็นบทเรียนของฉันเลย ซึ่งปกติเวลาเดินทางไปเที่ยวต่างถิ่นฉันจะระวังเรื่องอาหารการกินเยอะมาก จะทานของปรุงสุกใหม่และเลือกร้านที่สะอาด วันรุ่งขึ้นฉันเลยขอให้น้องร้านVVTVจัดรถตู้ส่วนตัวให้ค่ะ ราคา2พันบาท ไปส่งที่เวียงจันท์ เพื่อฉันจะเดินทางไปต่อเครื่องที่อุดรธานีได้ ซึ่งเช่ารถแบบนี้ก็ดีค่ะ เพราะเราสามารถแวะจอดดูสถานที่ต่างๆตลอดเส้นทางได้ คนขับก็กลายเป็นไกด์พาเที่ยว แต่เพราะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวฉันเลยแวะเฉพาะจุดที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ และรีบเดินทางให้ถึงเวียงจันท์ให้เร็วที่สุด ตลอดทางก็ชวนคนขับคุยเรื่องต่างๆมากมาย จนได้เพื่อนที่น่ารักมาเพิ่มอีกคน พร้อมแหล่งผจญภัยใหม่ๆในลาว ไว้มารอบหลังคงได้สนุกกว่านี้แน่ ภาพถ่ายทุกรูปถ่ายโดยผู้เขียนค่ะ