สำหรับการทำการเกษตรเชิงพาณิชย์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดใหญ่ ต้องยอมรับว่ามีเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมายที่ถูกนำมาใช้ทดแทนมนุษย์ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงกว่า และหลายเทคโนโลยีมีต้นทุนที่ถูกกว่าค่าแรงคนงาน หนึ่งในนั้นคือ เทคโนโลยี Artificial Intelligence หรือ AI คนไทยเรา เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นระบบประมวลผลข้อมูลเชิงลึกทางคอมพิวเตอร์ ที่สามารถพัฒนาความฉลาดได้ด้วยตัวเอง ผ่านระบบ Machine Learning ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของเครื่องจักร ที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ AI ฉลาดมากขึ้น และสามารถประมวลผลข้อมูลได้ดีขึ้นอีกด้วย ในด้านของการเกษตรกรรมในปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยในการเก็บข้อมูลในทุกๆ กระบวนการผลิต อาทิเช่น ระบบเซ็นเซอร์ระยะไกล ระบบดาวเทียม หรือระบบอากาศยานไร้คนขับ (UAVs) เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชม. ครอบคลุมพื้นที่ฟาร์มขนาดใหญ่ได้อย่างสบาย และสามารถส่งต่อข้อมูลไปยัง AI ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลและสั่งการเครื่องจักรได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ โดยคุณสมบัติที่โดดเด่นของระบบ AI คือ สามารถมองเห็นในสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น... ในวันนี้ talk about fish จะขอยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่เกษตรกรยุคใหม่นิยมนำมาใช้ควบคู่กับระบบ AI สำหรับประเทศไทยกันครับ อันดับแรกที่นิยมมากๆ ในปัจจุบันคือ ระบบเซ็นเซอร์ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับความผิดปกติได้ตลอด 24 ชม. โดยไม่ต้องหยุดพักผ่อน และมีความแม่นย้ำกว่าการสังเกตของมนุษย์หลายเท่า ยกตัวอย่างเช่น ในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ระบบเซ็นเซอร์สามารถตรวจสอบความผิดปกติของคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงได้ตลอดเวลา และส่งข้อมูลไปยังระบบAI หากพบว่าคุณภาพน้ำมีความผิดปกติ ระบบจะสั่งการให้เครื่องจักรเติมออกซิเจนในบ่อเลี้ยงได้อย่างอัตโนมัติ และแจ้งข้อมูลไปยังโทรศัพท์มือถือของเกษตรกรได้ทันที ซึ่งในปัจจุบันระบบเซ็นเซอร์สามารถตรวจจับความผิดปกติของดิน น้ำ อากาศ แสง อุณหภูมิ ความชื้น รวมทั้งความผิดปกติของพืชและสัตว์ได้อีกด้วย อันดับต่อมา คือระบบดาวเทียม ซึ่งสามารถสำรวจความเหมาะสมของกิจกรรมทางการเกษตรในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น เนื่องจากระบบดาวเทียมสำรวจในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงมากในการระบุข้อมูลของพื้นที่ เช่น ชั้นดิน ความลาดชัน ความหนาแน่นของพืช ลักษณะแหล่งน้ำ สภาพอากาศ หรือปริมาณฝน เป็นต้น ดาวเทียมสามารถส่งข้อมูลไปยังระบบ AI เพื่อประมวลผลและกำหนดพื้นที่เพาะปลูกที่มีความเหมาะสม ช่วยในการวางแผนสำหรับการเริ่มทำฟาร์มขนาดใหญ่ และจุดเด่นที่สำคัญของระบบดาวเทียมสำรวจคือ การทำนายการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในอนาคตได้อย่างแม่นยำ เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูกในอนาคตได้ง่ายขึ้น อันดับต่อมา คืออากาศยานไร้คนขับ (UAVs) ซึ่งจริงๆมีหลายประเภท แต่สำหรับเกษตรกรในประเทศไทยนิยมใช้โดรน (Drone) เป็นหลัก ซึ่งโดรนเป็นเครื่องมือที่มักจะนำมาใช้ในการประเมินผลผลิตทางการเกษตรของฟาร์มที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น การเพาะเลี้ยงปลาในฟาร์มขนาดใหญ่จำเป็นต้องใช้เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ เนื่องจากมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากกว่าคนงานทั่วไป แต่เนื่องจากมีปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละวันที่ส่งผลให้ปลาในแต่ละบ่อกินอาหารในปริมาณที่ไม่เท่ากัน เช่น อุณหภูมิมีผลต่อการกินอาหาร ปริมาณฝน ขนาด น้ำหนัก หรือความหนาแน่นของปลาในแต่ละบ่อ เป็นต้น เหล่านี้มีผลต่อความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน เกษตรกรรุ่นใหม่หลายรายจึงหันมาใช้โดรนในการบินสำรวจเก็บข้อมูลของบ่อเลี้ยง ด้วยภาพถ่ายในมุมสูงและอุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ โดรนสามารถเก็บข้อมูลที่จำเป็นทุกๆบ่อเลี้ยงไปพร้อมๆกัน แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดไปที่ระบบ AI เพื่อทำการประมวลผลปริมาณอาหารที่เหมาะสมในแต่ละบ่อเลี้ยง จากนั้นก็ส่งข้อมูลคำสั่งไปยังเครื่องให้อาหารอัตโนมัติต่อไป จากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นจะเห็นว่าระบบ AI เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในด้านของการทำเกษตรกรรมยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเข้ามาทำงานทดแทนมนุษย์ในหลายภาคส่วน เนื่องจากมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่า และยังทำงานได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องหยุดพัก ส่งผลให้เกษตรกรรุ่นใหม่มีความได้เปรียบในด้านของความรวดเร็วในการผลิตและการบริหารจัดการ แต่ในปัจจุบันระบบ AI จำกัดอยู่เพียงในฟาร์มขนาดใหญ่เท่านั้น เนื่องจากต้นทุนที่สูงจึงไม่คุ้มค่าในการนำมาใช้กับฟาร์มขนาดเล็กซึ่งถือเป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศไทย ดังนั้นประเด็นนี้จึงเป็นการบ้านที่สำคัญที่ต้องฝากไปถึงบรรดาผู้พัฒนาที่จะต้องตระหนักถึงการนำเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรรายย่อยมากขึ้นต่อไปในอนาคต ที่มาภาพ ภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4