เมื่อคืนวันที่ 9 มีนาคม 2022 เวลา 1:00 น. เป็นช่วงเวลาที่ Apple ได้เปิดการถ่ายทอดสดงานที่มีชื่อว่า Apple Event โดยมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกมาถึง 5 รายการทั้งใหม่และเก่าiPhone 13 และ iPhone 13 Pro สีใหม่โดยสีที่ออกมานั้นคือสีเขียวขี้ม้า หรือ Army Green นั่นเอง สีใหม่ที่ออกมานั่นสวยเข้ากับ Apple Watch Series 7 สี Army Green เป็นอย่างมากใครที่ชอบ หรือมี Apple Watch สีดังกล่าวก็เหมาะอย่างมากที่จะจับจองเป็นเจ้าของ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro สีใหม่อย่างเครื่องนี้ โดยจะมีการวางขายในวันที่ 18 มี.ค. 2022 เวลา 9.00 โมงเป็นต้นไป และจำหน่ายจริงในวันที่ 25 มี.ค. 2022 กับราคาเครื่องเท่าเดิมNew iPhone SE หรือ iPhone SE 3ต่อด้วยการเปิดตัว iPhone SE ที่มาพร้อมการดีไซต์ที่ถอดแบบมาจาก iPhone SE ตัวก่อนหน้าที่มีการเปิดมาก่อนเมื่อไม่นานมากนี้ iPhone SE จะมีสีมาให้เลือก 3 สี คือ แดง, ขาว และดำ ด้านหลังจะใช้กระจกเหมือนกับ iPhone 13 ส่วนหน้าจอจะเป็นจอภาพ Retina HD แบบ LCD กว้าง 4.7 นิ้ว จอแสดงผลแบบ True Tone และกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP67 นอกจากดีไซต์ที่เหมือนเดิมกลับมีการอัปเกรดสเปคและภายในให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า โดย iPhone SE 3 นี้มาพร้อมกับชิป A15 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 13CPU : 6-CoreGPU : 4-CoreNeural Engine : 16-Coreทำให้เครื่องมีความแรงมากเท่ากับ iPhone 13 แต่คุณสมบัติบางอย่างก็อาจจะใช้งานไม่ได้เหมือนกับ iPhone 13 เนื่องจาก Hardware ที่ไม่ตรงกัน Apple บอกว่า iPhone SE นี้แรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างมากแรงกว่า iPhone SE รุ่นก่อนหน้าถึง 1.2 เท่าแรงกว่า iPhone 8 ถึง 2.2 เท่าแรงกว่า iPhone 6s ถึง 5 เท่ามีการประหยัดพลังงานได้ดีกว่าร่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า เปรียบเทียบจากการเล่นวีดีโออย่างต่อเนื่อง มี Fast Charge แบบไร้สาย หรือต่อสาย 20w จาก 0% - 50% ใน 30 นาที และใช้งาน 5G ได้แล้ว อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ “สไตล์ภาพถ่าย” ที่ปรับโทนได้ตามใจชอบเหมือนใน iPhone 13 จะถ่ายเวลาไหนก็เก็บแสงได้สวยเช่นกัน โดยจะมีกล้องหลังความละเอียด 12MP และกล้องหน้า 7MP พร้อมกับปุ่ม Touch ID ที่หลายคนยังอยากจะใช้งานอยู่รุ่นความจุ 64GB ราคา 15,900 บาทรุ่นความจุ 128GB ราคา 17,900 บาทรุ่นความจุ 256GB ราคา 21,900 บาทNew iPad Air หรือ iPad Air 5ต่อมาคือการเปิดตัว iPad Air รุ่นใหม่ ที่ดีไซต์อาจจะเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือการมาพร้อมกับชิป M1 ที่เคยใช้ใน Macbook และ Ipad Pro มาก่อน แถมห้วยท้ายมาด้วยแรงถึง 8 GB ทำให้มีประสิทธิภาพแรงขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมากถึง 60% มีกราฟฟิกที่เร็วขึ้นถึง 2 เท่า ทำให้ iPad Air รุ่นนี้มีประสิทธิภาพที่ดีมาก เปิดสลับแอปพลิเคชั่นได้อย่างลื่นไหล สามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับสูงๆได้อย่างดีเยี่ยม และเลื่อนไหลเป็นอย่างมากหน้าจอแบบ Liquid Retina กว้าง 10.9 นิ้วมีจอภาพแบบ Full Laminationพร้อมปุ่ม Touch ID อยู่ด้านบนตัวเครื่อง สามารถเชื่อมต่อ 5G และ WiFi 6 กับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Magic Keyboard ได้สามารถใช้พอร์ต USB C ที่ชาร์จได้เร็วขึ้น 2เท่ากล้องหน้าเปลี่ยนมาเป็นกล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP พร้อมกับคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” เหมือนกับรุ่นโปรกล้องหลังจะยังเป็นไวด์ความละเอียด 12MP ถ่ายวิดีโอระดับ 4K และถ่ายภาพได้แบบ HDR อัจฉริยะ สามารถวิดีโอคอลและจัดภาพให้เราอยู่ตรงกลางเสมอ ไม่ว่าจะมีคนในกล้องกี่คนก็จะซูมเข้าออกได้อย่างเหมาะสม รุ่นนี้ก็ยังมีสีใหม่เพิ่มมาด้วยคือเทาสเปซเกรย์, สตาร์ไลท์, ชมพู, ม่วง และฟ้า โดย iPad Air 5 รุ่นใหม่นี้ยังไม่มีกำหนดขายในไทย แต่มีราคาแต่ละรุ่นดังนี้iPad Air 5 รุ่น Wi-Fi64GB ราคา 20,900 บาท256GB ราคา 25,900 บาทiPad Air 5 รุ่น Wi-Fi + Cellular64GB ราคา 25,900 บาท256GB ราคา 30,900 บาทMac Studio พร้อมชิปใหม่ M1 Ultra สิ่งต่อไปที่เปิดตัวในงานคือ Mac Studio มาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวใหม่ คือ M1 Ultra ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า M1 Pro และ M1 Max รูปแบบการดีไซต์จะเหมือนกับ Mac Mini แต่ใหญ่กว่าประมาณ 2 เท่า มีพัดลมระบายภายในจากด้านล่างเครื่อง ออกทางด้านหลังเครื่อง วัสดุเป็นอลูมิเนียม ตังเครื่องมาพร้อมกับThunderbolt 4 DisplayPort10Gb EthernetHDMIช่องต่อหูฟัง 3.5 มม.USB A 2 พอร์ต ด้านหน้าจะเป็นUSB C 2 พอร์ต (M1 Max)Thunderbolt 4 2 พอร์ต (M1 Ultra) Mac Studio จะมาให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่นที่ใช้ M1 Max และรุ่นที่ใช้ M1 Ultra โดยชิป M1 Ultra นั้นเป็นการใช้ชิป M1 Max เชื่อมกับ M1 Max อีกตัวรวมเป็น 2 ตัว หรือเข้าใจง่ายกว่านั้นคือ M1 Max + M1 Max = M1 Ultra นั่นเอง นอกจากนี้ยังสามารถเล่นวิดีโอ ProRes 422 ระดับ 8K ได้สูงสุด 18 สตรีมเยอะกว่าทุกเครื่อง เพิ่มแรมได้สูงสุดที่ 128 GB และเพิ่มความจุได้สูงสุด 8 TB Mac Studio รุ่น M1 Max เริ่มต้น 69,900 บาท, สูงสุด 174,900 บาทMac Studio รุ่น M1 Ultra เริ่มต้น 139,900 บาท, สูงสุด 279,900 บาท Studio Displayสิ่งสุดท้ายที่เปิดตัวในงานคือ จอแสดงผลใหม่ที่ชื่อ Stuio Display โดยจอนี้จะเป็นที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Mac Studio โดยเฉพาะ แต่ก็สามารถซื้อไปใช้งานกํบอย่างอื่นก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าจะใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดคงต้องใช้กับ Mac Studioจอ Retina กว้าง 27 นิ้วสามารถปรับจอได้ 30 องศา หรือจะเลือกปรับทั้งสูงและเอียงก็ได้อีกแบบคือตัวยึด VESAความละเอียดที่มากถึง 5Kสว่าง 600 นิตมีสีมากถึง 1 พันล้านสีมีกล้องหน้าเป็นอัลตร้าไวด์ละเอียด 12MP กับคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง”มีลำโพงถึง 6 ตัวกระจายเสียงได้รอบทิศตามตำแหน่งไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนก็ตามยังมีไมค์ถึง 3 ตัว มีชิป A13 Bionic ในตัวมีพอร์ต USB C 3 พอร์ตThunderbolt 1 พอร์ตรองรับได้กับทุก Mac มีให้เลือกสองรุ่นสองราคาดังนี้Studio Display กระจกมาตรฐานราคาเริ่มต้น 54,900 บาทStudio Display กระจก Nano-texture ราคาเริ่มต้น 65,400 บาทในงานเปิดตัวครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่มากนัก แต่สุดท้าย Apple ก็ทำให้สาวก และคนดูประหลาดใจได้ในตอนท้ายกับการพัฒนาชิป Apple silicon ในชื่อ Chip M1 ให้พัฒนาได้มากขึ้นเรื่อยๆในทุกปีอย่างที่ Apple คาดหวังไว้ จนตอนนี้ชิป M1 นั้นพัฒนาไปได้มากกว่าชิปของ iPhone และ iPad เสียอีก เมื่อเทียบประสิทธิภาพในการพัฒนาทุกๆปี แต่อย่างไรก็ตามเราสาวกคงต้องรอดูว่า Apple จะมีอะไรมาทำให้คนดูประหลาดใจได้อีกนอกจากข่าวลือที่กันปี และแทบจะไม่ตรงกันแทบทุกปี เครดิตรูปภาพหน้าปกBy GH0ST - ผู้เขียนรูปภาพประกอบบทความBy Appleเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !