ในปี ค.ศ. 1769 นาย Joseph Cugnot วิศวกรของกองทัพฝรั่งเศสได้สร้างรถยนต์ไอน้ำคันแรกของโลกเพื่อใช้ลากปืนใหญ่ให้กับกองทัพ และในปี ค.ศ. 1903 สองพี่น้องกระกูลไรท์คนดัง สร้างเครื่องบินได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ถึงจะเหลือเชื่อแต่ก็เป็นความจริง รถยนต์คันแรกถูกคิดค้นขึ้น 134 ปีก่อนหน้าที่เครื่องบินลำแรกจะได้ทะยานสู่ท้องฟ้า แต่ทว่า เทคโนโลยีการบินดูเหมือนจะก้าวหน้าไปไกลกว่าเทคโนโลยีรถยนต์เสียอีกที่มา: https://pixabay.com/illustrations/artificial-intelligence-brain-think-3382507/ ในยุคสมัยของ 5G, AI, IoT, และหุ่นยนต์ หัวข้อที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดหัวข้อหนึ่งก็คือรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายไม่ว่าจะเป็นจากทางฝั่งตะวันออกหรือตะวันตก โดยจุดมุ่งหมายของการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยอำนายความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานแล้ว ยังเป็นการลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามท้องถนน ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ วิศวกรเชื่อว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมรถยนต์จะทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยกว่าการที่มนุษย์ขับรถเอง อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญญารถติดได้อีกด้วย แต่เทคโนโลยียานพาหนะอัตโนมัติไม่ใช่เรื่องใหม่ แท้จริงแล้วแนวคิดนี้ถูกคิดขึ้นมานานกว่าหนึ่งร้อยปี ยานพาหนะแรกของโลกที่มีการนำระบบควบคุมอัตโนมัติมาใช้คือเครื่องบิน เป็นระบบที่เรารู้จักกันในชื่อ Autopilot ที่ถูกนำมาใช้ครั้งแรกใน ค.ศ. 1912 เปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาก่อนกว่า 134 ปี รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติยังไม่สามารถนำออกมาใช้ได้จริงเสียด้วยซ้ำที่มา: https://www.pexels.com/photo/man-riding-on-vehicle-2220401/ แต่อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป สาเหตุที่เทคโนโลยีอัตโนมัติของรถยนต์เกิดขึ้นช้ากว่าของเครื่องบิน ไม่ใช้เพราะความสามารถที่แตกต่างกันของวิศวกร แต่เป็นเรื่องของลักษณะการใช้งานต่างหาก ระบบอัตโนมัติของเครื่องบินสร้างขึ้นมาเพื่อให้เครื่องบินสามารถบินตรงไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย และทำให้นักบินสามารถทำงานอื่น ๆ ที่มีประโยชน์กว่าการควบคุมระดับความสูงและทิศทางของเครื่องบิน อย่างเช่นการนำทาง สื่อสาร และตรวจสอบสภาพอากาศ ในทางกลับกัน ระบบอัตโนมัติของรถยนต์มีความซับซ้อนกว่าตรงที่ รถยนต์จะต้องเคลื่อนที่ไปบนถนนที่คดเคี้ยวและมีสิ่งกีดขวางมากมาย เช่น หลุม สัตว์ คน และรถยนต์รอบข้าง แตกต่างจากเครื่องบินที่มักจะบินตรง และแทบไม่ต้องมีการหลบหลีกใด ๆ ดังนั้นการสร้างรถยนต์ไร้คนขับจำเป็นต้องใช้เซนเซอร์มากมายเพื่อตรวจสอบสิ่งกีดขวางและทำการหลบหลีก พร้อมกันกับระบบนำทางที่แม่นยำที่คอยสั่งการให้รถมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้อย่างปลอดภัยที่มา: https://pixabay.com/illustrations/car-automobile-3d-self-driving-4343635/ อีกหนึ่งข้อแตกต่างระหว่างระบบอัตโนมัติของรถยนต์และเครื่องบินก็คือระบบสำรองเผื่อฉุกเฉิน หรือ Redundancy เนื่องจากที่ความสูงกว่าสิบกิโลเมตรเหนือพื้นโลก การที่เครื่องบินลำหนึ่งจะจอดรอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุขัดข้องระหว่างการบินจากเครื่องบินลำอื่นที่บินผ่านมา ดูจะเป็นเรื่องที่… ยากจะจินตนาการ ไม่เหมือนกับรถยนต์ ที่ผู้โดยสารสามารถโทรเรียกรถลากหรือช่างมาช่วยได้ ดังนั้นวิศวกรการบินต้องออกแบบระบบสำรองไว้อย่างรอบคอบ เช่น หากเซนเซอร์ A ขัดข้อง เซนเซอร์ B จะต้องทำงานแทนได้ และถ้าเซนเซอร์ B ขัดข้องอีก ระบบก็ยังคงมีเซนเซอร์ C ไว้สำรอง เรียกได้ว่าเผื่อยิ่งกว่าเผื่อ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเดินทางบนเครื่องบินปลอดภัยกว่ารถยนต์ที่มา: https://pixabay.com/photos/lamborghini-car-automobile-auto-3608056/ จะเห็นได้ว่าระบบอัตโนมัติทั้งของรถยนต์และเครื่องบินถูกสร้างขึ้นมาบนข้อจำกัดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบการเคลื่อนที่ สภาพแวดล้อม ลักษณะการทำงาน ความเสี่ยง หรือแม้แต่ความคุ้มค่าทางการเงินก็มีผลต่อการพัฒนาของทั้งสองเทคโนโลยี แต่ความแตกต่างกันไม่ได้หมายความว่าจะนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันไม่ได้ เช่นผู้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับสามารถนำแนวคิดเรื่องระบบสำรองฉุกเฉินของเครื่องบินมาใส่ในรถยนต์ เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยบนท้องถนนขึ้นไปอีกขั้น หรือผู้พัฒนาเครื่องบินสามารถนำแนวคิดในการใช้เซนเซอร์เพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวางจากรถยนต์มาใช้ในเครื่องบิน เพื่อให้เครื่องบนสามารถเคลื่อนที่บนรันเวย์ที่มีสิ่งกีดขวางมากมายได้อย่างปลอดภัย จุดมุ่งหมายสูงสุดของการสร้างระบบอัตโนมัติไม่ว่าจะเป็นบนเครื่องบินหรือรถยนต์ไม่ใช่การแข่งขันกัน แต่เป็นการทำให้ชีวิตของผู้โดยสารปลอดภัยให้มากที่สุด และเกิดความสูญเสียน้อยที่สุดเมื่อมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ดังนั้นการจะทำให้เกิดผลดีต่อมนุษยชาติมากที่สุด ก็คือการที่ทั้งวิศวกรการบินและวิศวกรยานยนต์มาแลกเปลี่ยนแนวคิดและความรู้กัน มาร่วมมือกันเพื่อพัฒนาให้ทุกชีวิตบนโลกมีอนาคตที่ดีกว่าเดิม