สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านด้วยนะครับ ผม Kakommz วันนี้ผมก็มีหนังสือดีดีที่อยากมาแนะนำให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับชมอีกเช่นเคยครับ และในส่วนของหนังสือที่จะนำมารีวิวนั่นก็คือ "รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง Defining Moment" เขียนโดยคุณ รวิศ หาญอุตสาหะ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของเพจ Mission to the Moon และเป็น CEO ของ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด นั่นเองครับโดยหนังสือเล่มนี้คุณรวิศ ได้สรุปบทเรียนที่ได้มาจากการเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องทำให้บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ปรับเปลี่ยนวิธีคิดหรือระบบการทำงานต่างๆ เพื่อทำให้องค์กรยังสามารถดำเนินต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม บทเรียนเหล่านี้ ก็สามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้เช่นกันในวันนี้ผม Kakommz จึงขออนุญาตหยิบยกตัวอย่างภายในหนังสือบางส่วน รวมไปถึงขออนุญาตใส่ความคิดเห็นส่วนตัวเพิ่มเติมในแต่ละหัวข้อนั้นๆ เพื่อเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามารับชมพร้อมกันได้เลยครับDefining Moment1,000 ชั่วโมงนับจากนี้คุณรวิศ ได้มีโอกาสฟังตอนที่คุณต่อ-ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของกิจการ Penguin Eat Shabu ว่าในช่วงที่กำลังลำบากสุดๆ มีลูกน้องเดินมาบอกว่าไม่ขอรับเงินเดือนก็ได้ ทำงาน 7 วัน โดยไม่มีโอทีก็ได้ ซึ่งตามหลักความเป็นจริง อย่างไรก็ตาม เจ้านายยังต้องจ่ายเงินเดือนให้ลูกน้องตามปกติครับ แต่เมื่อฟังแบบนี้ ผมเชื่อว่าคุณต่อและเจ้านายอีกหลายคนจะได้ใจไปเต็มๆฉะนั้น ถ้าพูดในมุมมองของพนักงานเป็นหลัก คุณรวิศ ก็ได้หยิบยกตัวอย่างจากคุณโจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะ ที่เขียนไว้ในเพจ "เขียนไว้ให้เธอ" ในเรื่องวิกฤตของบริษัทคือโอกาสครั้งใหญ่ของลูกจ้าง โดยในวิกฤตนี้ โอกาสของลูกจ้างจะมีอยู่สองจังหวะคือ1. ทำงานที่คนอื่นไม่อยากทำ และใช้ความทรหดเข้าสู้2. ในยามวิกฤตของบริษัทก็แสดงฝีมือ ไม่เกี่ยงงาน ทำงานหนักกว่าคนอื่นเมื่อเหตุการณ์วิกฤตผ่านไป เจ้านายจะจำได้แน่นอนว่าใครทำงานเสียสละ ทุ่มเท ช่วยให้องค์กรผ่านวิกฤตไปได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครถือโอกาสนี้ ทำงานเหมือนลาพักร้อน ทำไปแบบส่งๆ เจ้านายก็จำขึ้นใจเหมือนกันครับ นอกจากมุมมองของพนักงานแล้ว มุมมองของเจ้านาย ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ใหญ่หลวงเช่นกัน เพราะภายใต้วิกฤตโควิด-19 หรือวิกฤตอื่นๆ อาจทำให้เจ้านายต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดขององค์กรอย่างมหาศาล ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดได้เลยว่า ธุรกิจของเราจะได้ไปต่อหรือจบเพียงเท่านี้ส่วนตัวผมจึงอยากกล่าวว่า ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสครับ พยายามใช้โอกาสและลงมือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรให้ได้มากที่สุด เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะเจ้านายหรือพนักงานก็ตาม 1,000 ชั่วโมงนับจากนี้ จะเป็นตัวชี้วัดผลจากสิ่งที่เราทำ และสิ่งที่คุณได้ลงมือทำจะส่งผลลัพธ์ในทางที่ดีไม่มากก็น้อยแน่นอนครับTight-Loose-Tightตึง-ผ่อน-ตึงในหัวข้อนี้ คุณรวิศ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณซิกเว่ เบรกเก้ ซีอีโอของ Telenor Group ซึ่งได้พูดคุยในเรื่องของหลักการบริหารของผู้นำแบบ trust-based leadership นั่นเองครับ แล้วเจ้า trust-based leadership นี้คืออะไรล่ะ? trust-based leadership คือ พื้นฐานของความไว้วางใจ ในรูปแบบของ Tight-Loose-Tight ครับTightTight แรกคือการกำหนดความคาดหวัง การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนครับ ซึ่งความคาดหวังนี้เปรียบเสมือนเข็มทิศเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าต้องไปทางไหน อะไรคือเรื่องสำคัญที่ต้องใช้เวลากับมัน และอะไรที่ควรปล่อยผ่าน ถ้าทุกคนในองค์กรเข้าใจในส่วนนี้มากขึ้น เวลาทำงานก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วยครับLooseLoose คือวิธีการทำงานที่มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ให้พนักงานมีอิสรภาพในการออกแบบวิธีการทำงานของตัวเองได้ สั้นๆ คือมี autonomy ในการทำงานนั่นเองครับTightTight สุดท้ายคือการติดตามวัดผล ตัวของผู้นำต้องเข้าใจการติดตามงานที่ดี มีการวัดผลที่ดี และควรให้ฟีดแบ็กที่ดี มีการวัดความก้าวหน้าของงานอย่างเป็นระบบทั้งสองทางเพื่อให้การทำงานดีขึ้นเสมอดังนั้น trust-based leadership จึงเปรียบเสมือนอาวุธที่สำคัญในการจัดการบริหารในยุคที่อนาคตมีความผันผวนสูงเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถเป็นเกราะป้องกันให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานและสร้างประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วยดังที่คุณ Ronald Reagan กล่าวไว้ว่า"The greatest leader is not necessarily the one who does the greatest things. He is the one that gets the people to do the greatest things.""หัวหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่เขาเป็นคนที่สามารถทำให้คนอื่นทำเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้ต่างหาก"The Amount of Joyนิสัยเล็กๆ เปลี่ยนชีวิตหัวข้อต่อมา คุณรวิศ ได้นำเสนอนิสัยเล็กๆ หลายอย่าง ที่เมื่อทำไปนานๆ แล้ว มันจะเปลี่ยนชีวิตของเราได้อย่างมหาศาล ซึ่งภายในหนังสือนั้นมีหลากหลายข้อมากๆ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอหยิบมา 5 ตัวอย่าง เพื่อการอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมที่ละเอียดและกระชับมากขึ้นครับ1. กินอาหารอย่างมีสติเวลากินอาหาร ขอให้โฟกัสกับการกินจริงๆ อย่าเล่นมือถือหรือทำอย่างอื่นไปด้วย นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการควบคุมน้ำหนักที่ดีอีกด้วย2. มีหนังสือติดตัวเสมอ ในข้อนี้ ส่วนตัวผมเองก็เริ่มทำมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และมันทำให้ตัวของผมเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้นด้วยครับ ผมจึงขอแนะนำว่ามีหนังสือติดตัวหรือวางไว้หลายๆ ที่ ทั้งในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือในรถ การทำแบบนี้ช่วยให้เราอ่านหนังสือได้เพิ่มมากขึ้นจริงๆ ครับ3. จดทุกอย่างที่คิดออกเรื่องนี้ช่วยตัวของผมได้เยอะมากๆ ครับ เพราะถ้า "จำไม่หมด จดย่อมดีกว่าจำ" (โฆษณาตัวหนึ่งกล่าวไว้) และอย่างที่คุณรวิศ กล่าวไว้เช่นกัน "อย่าพึ่งแต่ความจำ เพราะเราไม่สามารถจำไอเดียของเราทุกอย่างได้แน่นอน" ฉะนั้น การพกปากกากับกระดาษติดตัวไว้ หรือใช้สมาร์ตโฟนในการพิมพ์สิ่งต่างๆ ที่สำคัญไว้ ย่อมทำให้คุณสามารถย้อนกลับมาดูไอเดียอย่างละเอียดอีกครั้งได้อย่างแน่นอน4. นั่งสมาธิ 3 นาทีคุณรวิศ กล่าวว่า "ถ้าการนั่งสมาธิ 10 นาทีนานไป ขอแค่ 3 นาทีก็พอครับ แล้วคุณจะพบว่าจิตใจของคุณสงบมากขึ้น" และส่วนตัวผมเองขอเสริมครับว่า เมื่อคุณลองนั่งสมาธิไป 3 นาทีแล้ว คุณจะเริ่มนั่งนานขึ้นเรื่อยๆ จาก 3 เป็น 5 นาที จาก 5 เป็น 10 นาที และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนครับ5. ดื่มน้ำทุกชั่วโมงการดื่มน้ำ จะทำให้ร่างกายสดชื่นและสมองปลอดโปร่ง การพกกระติกน้ำประจำตัวไว้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ครับตัวอย่างเหล่านี้ ทำเพียงแค่วันสองวันอาจไม่เห็นผล แต่เมื่อคุณลองทำเรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย นิสัยเล็กๆ เหล่านี้ จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้อย่างมหาศาลครับWake-up Callเราสามารถทำอะไรได้บ้างหัวข้อสุดท้ายนี้ ผมขออนุญาตแทนที่เนื้อหาด้วยการเล่าประสบการณ์ของตัวผมเองครับ ต้องขอบอกก่อนว่า แต่ก่อนผมรู้สึกไม่กล้าที่จะลงมือทำในหลายสิ่ง เพราะรู้สึกกลัวและคิดว่าถ้าเริ่มต้นแล้ว และมันเกิดล้มเหลวขึ้นมาจะทำให้ผมรู้สึกไม่ดีจนไม่อยากจะทำอะไรอีก จึงทำให้ผมต้องใช้ความกล้าพอสมควรครับในการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ อัด Podcast หรือแม้กระทั่งกลับไปเรียนใหม่อีกครั้งแต่เมื่อได้ลงมือทำไปแล้ว ผมก็พบว่า ถ้าจะลองทำตัวของผมก็พอทำได้ครับ ถึงแม้จะไม่ได้ดีมากแต่ก็พอจะเอาตัวรอดได้ในการทำสิ่งใหม่ ฉะนั้น สิ่งที่ผมอยากจะขออนุญาตบอกกับผู้อ่านที่น่ารัก ก็คือ ถ้าหากคุณกำลังอยากลองทำสิ่งใหม่แต่ยังมีความกังวลว่าจะล้มเหลว ผมขอให้คุณลองทำมันดูครับ จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยคุณจะไม่เสียใจเลยครับ เพราะคุณได้เริ่มลองลงมือทำไปแล้วนั่นเอง และนั่นอาจจะเป็น "รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง" ของคุณก็เป็นได้ครับสุดท้ายนี้ ผม Kakommz ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่กับ Book Review By Kakommz ครั้งหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับAbout Factชื่อหนังสือ : รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง Defining Momentผู้เขียน : รวิศ หาญอุตสาหะราคา : 249 บาทหมวดหมู่ : จิตวิทยาพัฒนาตัวเองสำนักพิมพ์ : KOOBเครดิตภาพภาพหน้าปกโดยผู้เขียนขอขอบคุณภาพประกอบจาก PIXABAYภาพ1,000ชั่วโมง (ตัวอย่างประกอบ) โดย geraltภาพTight-Loose-Tight (ตัวอย่างประกอบ) โดย mohamed_hassanภาพนิสัยเล็กๆ เปลี่ยนชีวิต (ตัวอย่างประกอบ) โดย Life-Of-Pixภาพเราสามารถทำอะไรได้บ้าง (ตัวอย่างประกอบ) โดย mohamed_hassan ภาพหนังสือ รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง Defining Moment ถ่ายรูปโดยผู้เขียนบทความ Book Review อื่นๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน- Book Review By Kakommz : SUPER PRODUCTIVE อัปเดตสาระดี ๆ มีประโยชน์แบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !