หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผมถึงตั้งหัวข้อว่า "ความท้าทายวัดจากอะไร?" ซึ่งผู้เขียนได้ตั้งคำถามนี้มาจากตอนเริ่มทำงานบริหารโครงการ ว่าโครงการที่เรากำลังดูแลอยู่นั้น มีความท้าทายมากน้อยเพียงใด อะไรจะเป็นตัวชี้วัด ผู้อ่านเคยสงสัยกันมั้ยครับว่าเราจะรู้ได้อย่างไร? ก่อนอื่นเลยผู้เขียนแนะนำให้ผู้อ่าน เริ่มอ่านจากบทที่ 1 (Chapter 1) ก่อนครับ เพื่อจะได้เข้าใจที่มาที่ไปก่อนว่า ความท้าทายที่ผู้เขียนจะกล่าวต่อไปคือ ความท้าทายของงานด้านการบริหารโครงการผ่านมุมมองจากประสบการณ์ตรงที่ผู้เขียนจะแบ่งปันเรื่องราว ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนะครับ ไม่ได้อ้างอิงมาจากตำราฉบับไหนนะครับ ดังนั้นผู้อ่านอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างออกไปจากผู้เขียนก็เป็นได้ครับ ความท้าทายจากการทำงานมากับบุคลากรผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน ผู้เขียนได้เก็บเกี่ยวความคิดเห็นของแต่ละท่านซึ่งต้องขอขอบคุณบุคคลเหล่านั้นที่ผู้เขียนได้เคยร่วมงานกันมาและได้ผ่านประสบการณ์มากมายด้วยกัน ผู้เขียนได้กลั่นกรองความท้าทายออกมาเป็น 4 ข้อหลักในการชี้วัดว่า โครงการที่ท่านกำลังทำ หรือกำลังเริ่มต้นดำเนินการอยู่นั้น จะมีความยุ่งยากและท้าทายกับตัวท่านเองมากน้อยเพียงใด ซึ่งจำแนกออกได้ 4 หัวข้อ ดังต่อไปนี้ ลูกค้าใหม่หรือลูกค้าเก่าลูกค้านั้นสำคัญไฉน คำตอบคือสำคัญมากครับ หากโครงการที่ท่านกำลังดำเนินการอยู่นั้น เป็นกลุ่มลูกค้าเก่าขององค์กรท่าน ที่องค์กร ของท่านเอง อาจจะได้เคยทำโครงการกับลูกค้ากลุ่มนั้นมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ก็จะทำให้การดำเนินการของโครงการนั้นลดความยุ่งยากลงไปได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าหากกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่หละก็ บอกได้เลยครับว่าระดับความปวดหัวจะเพิ่มขึ้นทวีคูณทันที เพราะท่านต้องทำความรู้จักลูกค้าใหม่หมด ต้องเข้าถึงลูกค้าให้ได้ ต้องวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าให้เป็น ไหนจะต้องสร้างสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ ความซับซ้อนของงานความซับซ้อนของเนื้องาน บางครั้งอาจจะไม่ได้วัดกันที่มูลค่าของโครงการนะครับ บางโครงการมูลค่าอาจจะไม่สูงมาก แต่ความซับซ้อนอาจจะอยู่ในระดับที่ยาก ถึงยากสุดๆ ก็มีนะครับ ขึ้นกับเนื้องานของงานนั้นๆ ที่กำลังทำอยู่ ยกตัวอย่างคร่าวๆ ในแง่ของความซับซ้อนของเนื้องานนะครับ อย่างเช่น ความยุ่งยากของการออกแบบระบบ ความยุ่งยากของการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรม ความยุ่งยากของการเชื่อมต่อระบบ ความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เป็นต้น พันธมิตรแน่นอนครับในงานบางโครงการ ท่านอาจจะไม่ได้ทำโดยลำพัง ซึ่งอาจจะต้องมีพันธมิตร (Partner) ซึ่งขอรวมถึง Vendor ที่ท่านต้องร่วมงานด้วยนะครับ ยิ่งถ้าโครงการไหน มี Partner ที่จำเป็นต้องเข้ามาร่วมกันลงมือทำโครงการนั้นมากกลุ่มเท่าไหร่ ก็จะเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น หากท่านได้พันธมิตรที่มากความสามารถ สื่อสารรู้เรื่อง ทำงานเป็นระบบ และฉับไว นับเป็นโชคดีของท่านเลยครับ แต่ถ้าท่านได้พันธมิตรที่มีความสามารถก็จริง แต่สื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำงานเป็นระบบบ้างไม่เป็นบ้าง และต้องคอยจิกคอยตามเป็นไก่ ความปวดหัวกุมขมับจะบังเกิดกับตัวท่านทันทีงบประมาณค่าใช้จ่ายหนึ่งในสุดยอดหัวใจสำคัญของการบริหารโครงการที่ผู้เขียนได้เคยเกริ่นไว้แล้วในบทที่ 1 ก็คือต้นทุน (Cost) หากโครงการนั้นมีงบประมาณ (Budget) ที่จำกัดแล้วหละก็ความยากและความเสี่ยงก็จะสูงตามเป็นเท่าตัว หากโครงการที่ท่านกำลังจะเริ่มดำเนินการ หรือกำลังดำเนินการอยู่นั้น มีต้นทุนที่สูงมากจนทำให้ margin ที่ได้อยู่ในระดับที่ต่ำจนมีความเสี่ยงที่จะติดลบนั้น ขอบอกเลยว่านี่มันนรกชัดๆ ท่านจะทำงานในระดับที่เรียกว่า ยากโคตรๆ อย่างแน่นอน การควบคุมปัจจัยต้นทุนในบางปัจจัยอาจจะควบคุมได้ยากมาก ทำให้ต้นทุนที่ประมาณการไว้ในตอนต้นอาจจะต่ำกว่าที่คาดไว้ ทำให้ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในต้นทุนส่วนนี้มากขึ้น จุดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ และมีความเสี่ยงสูงมากหากต้นทุนที่ประมาณการไว้นั้น ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และโครงการนั้นมีงบประมาณจำกัด บอกได้คำเดียวว่า ขอให้โชคดีครับบทสรุป Chapter 2ความท้าทายที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นมุมมองส่วนตัวจากประสบการณ์ของผู้เขียนนะครับ ซึ่งพยายามสรุปออกมาเป็น 4 หัวข้อหลักที่สำคัญ อันได้แก่ กลุ่มลูกค้า ความซับซ้อนของงาน พันธมิตร และงบประมาณค่าใช้จ่าย ผู้เขียนเองเคยทำงานโครงการที่มีด้านลบถึงสามในสี่หัวข้อเลยทีเดียวครับ นับว่าเป็นการทำงานที่ค่อนข้างท้าทายพอสมควรครับ แล้วผู้อ่านหละครับเคยประสบพบเจอความท้าทายมาแล้วกี่หัวข้อครับ?ภาพประกอบหน้าปก ภาพปก 1 โดย nappy จาก pexels.comภาพที่ 1 โดย Andrea Piacquadio จาก pexels.comภาพที่ 2 โดย Moose Photos จาก pexels.comภาพที่ 3 โดย Startup Stock Photos จาก pexels.comภาพที่ 4 โดย Andrea Piacquadio จาก pexels.comภาพที่ 5 โดย Pixabay จาก pexels.com เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !