หลังจากที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยโควิดรายแรกเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563 เราก็เผชิญกับสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ล่าสุดคือสายพันธุ์โอมิครอน ที่ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่า ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า การติดเชื้อสายพันธุ์นี้ อาการไม่น่ารุนแรง โดยอาการแสดง เช่น ปวดเมื่อยเนื้อตัว เหนื่อย ไม่ไอ การรับกลิ่น รับรส ยังปกติภาพจาก Martin sanchez / unsplashจริง ๆ แล้ว การเกิดสายพันธุ์ใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็คือการกลายพันธุ์ (Mutations) เป็นการวิวัฒนาการเพื่อให้เกิดการอยู่รอดของตัวไวรัสตามธรรมชาตินั่นเอง โดยการที่ไวรัสมีการแพร่กระจายไปยังกลุ่มคนจำนวนมาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมจากสารพันธุกรรมดั้งเดิม ซึ่งโดยปกติการกลายพันธุ์เกิดได้บ่อยครั้งอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่จะมีบางครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ ภาพด้านล่างแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมในเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีการระบาดที่ผ่านมาภาพจาก WHOจากรูป จะเห็นได้ว่าสายพันธุ์ Omicron มีตำแหน่งยีนกลายพันธุ์ถึง 50 ตำแหน่ง ทำให้สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆหากรวบรวมข้อมูลสายพันธุ์ไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่มีการระบาดเมื่อปลายปี 2019 โดยไม่นับสายพันธุ์แรก คือ สายพันธุ์อู่ฮั่นแล้วตอนนี้ ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ไปแล้วทั้งหมดหลายสิบสายพันธุ์ แต่มีเฉพาะแค่ไม่กี่สายพันธุ์ที่อาจทำให้เกิดการะบาดรุนแรงได้โดยองค์การอนามัยโลกได้แบ่งประเภทสายพันธุ์ไวรัสโควิด-19 ไว้ เป็น 3 ประเภท ดังนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2021)ภาพจาก CDCสายพันธุ์ที่ต้องตระหนัก (Variants of concern : VOC)คือ สายพันธุ์ที่อาจเกิดการระบาดที่รวดเร็วและก่อให้เกิดอาการรุนแรง จึงต้องมีการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดสายพันธุ์ Beta - B.1.351พบครั้งแรก : ประเทศแอฟริกาใต้ พฤษภาคม 2020อาการ : สายพันธุ์นี้ระบาดรวดเร็ว แพร่เชื้อไวขึ้นจากเดิม 50% ลดประสิทธิภาพแอนติบอดี ผู้ติดเชื้อจะมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เจ็บคอ ท้องเสีย ปวดศีรษะ ตาแดง รับรส-รับกลิ่นผิดปกติ และมีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง หรือนิ้วมือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี หากอาการหนักจะเกิดการติดเชื้อที่ปอด ลักษณะอาการคือหายใจถี่ มีเสมหะในปอด เจ็บหน้าอก และสูญเสียความสามารถในการพูดและเคลื่อนไหวสายพันธุ์ Alpha - B.1.1.7พบครั้งแรก : ประเทศสหราชอาณาจักร กันยายน 2020อาการ : สายพันธุ์นี้แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น 40-70% มีไข้สูงตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป เจ็บคอ หายใจหอบเหนื่อย ปวดตามร่างกายและศีรษะ และการรับรส-ได้รับกลิ่นผิดปกติสายพันธุ์ Gamma - P.1พบครั้งแรก : ประเทศบราซิล มกราคม 2021อาการ : มีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง แม้คนที่ได้รับวัคซีนแล้วก็มีโอกาสติดซ้ำได้ด้วย แม้พื้นที่นั้น ๆ จะมีการฉีดวัคซีนที่สูงก็ตาม (ลดประสิทธิภาพวัคซีน)สายพันธุ์ Delta - B.1.617.2พบครั้งแรก : ประเทศอินเดีย ตุลาคม 2020อาการ : ระบาดเร็ว แพร่เชื้อง่าย หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ คนที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา มักจะไม่ค่อยมีอาการไอ หรือจมูกไม่รับกลิ่น แต่จะมีไข้ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ และเจ็บคอมากกว่าสายพันธุ์ Omicron - B.1.1.529พบครั้งแรก : หลายประเทศ พฤศจิกายน 2021 และกำลังเป็นปัญหาใหม่อยู่ในขณะนี้อาการ : อาการที่พบมี ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เหงื่อออกตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ 2-3 วัน อาการจะดีขึ้น ไม่ไอ ไม่มีความผิดปกติเรื่องกลิ่นหรือการรับรส จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า Omicron เพิ่มจำนวนในการนอนโรงพยาบาลของผู้ติดเชื้อที่แอฟริกาใต้ แต่อาจเนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว สามารถพบการติดเชื้อซ้ำได้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยติดเชื้อมาแล้ว สำหรับการรักษาการติดเชื้อ Omicron นั้น องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าการใช้ยา Corticosteroid และ IL6 Receptor Blockers ยังได้ผลอยู่สายพันธุ์ที่ต้องให้ความสนใจ (Variants of Interest : VOI)คือ ไวรัสที่พบการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ที่อาจส่งผลต่อการระบาด การหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน และความรุนแรงของโรคได้สายพันธุ์ Lambda – C.37พบครั้งแรก : ประเทศเปรู ธันวาคม 2020สายพันธุ์ Mu – B.1.621พบครั้งแรก : ประเทศโคลอมเบีย มกราคม 2021สายพันธุ์ที่ต้องติดตาม (Variants under Monitor : VOI)คือ ไวรัสที่มีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการระบาดในอนาคต แต่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ จึงจัดให้อยู่ในกลุ่มต้องติดตามข้อมูลล่าสุด WHO กำหนดไว้ 7 สายพันธุ์ โดยอาจมีการยกระดับหรือลดระดับตามสถานการณ์ เช่น AZ.5#, C.1.2, B.1.630 ซึ่งสายพันธุ์เหล่านี้เมื่อมีการยกระดับการระบาด ก็จะมีการตั้งชื่อภาษาละตินแทนชื่อทางวิทยาศาสตร์ภาพจาก Tai’s Captures / unsplashหากเปรียบเทียบในเรื่องความรวดเร็วในการระบาด ข้อมูลการระบาดของสายพันธุ์ Omicron จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุก ๆ 1.5-3 วัน ในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาด เนื่องจากสายพันธุ์ Omicron สามารถแบ่งตัวในหลอดลมผู้ติดเชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์ Delta หลังรับเชื้อไปในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงส่วนในเรื่องความรุนแรงหลังติดเชื้อ พยว่าการติดเชื้อในผู้ใหญ่ จนถึงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลลดลง แต่ในเด็กมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จนทำให้มีนโยบายอนุมัติฉีดวัคซีนในเด็ก 5-12 ปีดังนั้น การคาดการณ์สำหรับการติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron ในครั้งนี้ จึงอาจไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ Delta แต่การระบาดที่รวดเร็วก็อาจส่งผลต่อระบบสาธารณสุขได้เช่นกันช่วงการระบาดของ Omicron นี้ เป็นช่วงพอดีกับหน้าท่องเที่ยว โดยส่วนตัวเชื่อว่า เรายังสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ ใช้ชีวิตประจำวันได้ เพียงแต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยอยู่เสมอ อย่างแรกคือการฉีดวัคซีน เพราะอย่างไร การฉีดวัคซีนก็ป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงได้ การเตรียมความพร้อมร่างกายด้วยการออกกำลังกาย ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเสริมภูมิคุ้มกัน เลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอากาศถ่ายเท และปฏิบัติตามแนวทางป้องกันที่กำหนดไว้ ที่สำคัญ การสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ ก็เป็นช่วยลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด“การดูแลตัวเองได้ดี ย่อมเป็นการป้องกันให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน”เรียบเรียงข้อมูลจาก WHOอัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!