ติวเตอร์คนหนึ่งอยากเล่าให้ฟัง ตอน Culture Shock ก็มีในภาษานะ (1) สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้โอลีฟขอสวมหมวก English Teacher เขียนบทความกึ่งวิชาการบ้าง ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่านี่ไม่ใช่เนื้อหาการสอนภาษาอังกฤษตามหลักสูตรปกติ แต่เป็นประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของเด็กคนหนึ่งที่เกิดในบ้านคนไทย เรียนโรงเรียนไทย กว่าจะได้สัมผัสชีวิตนานาชาติจริงๆก็เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จะมีข้อที่โชคดีอยู่บ้างก็อาจเป็นสภาพสังคมและความสนใจส่วนตัวที่มีโอกาสได้เรียนกับครูเจ้าของภาษาหรือเสพสื่อต้นฉบับภาษาอังกฤษตั้งแต่ช่วงมัธยม และที่สำคัญโอลีฟก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เกลียดวิชาภาษอังกฤษด้วยเหตุผลที่ว่ามันจับต้นชนปลายไม่ถูกและเช่นเดียวกับหลายๆคน ไวยากรณ์คืออะไรคะ ไม่เข้าใจและไม่พร้อมเข้าใจขั้นรุนแรง แล้วทำไมเด็กคนนั้นจึงโตมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นนักแปล เป็นล่าม เป็นเลขานายต่างชาติผู้เป็น English Native Speaker ถึงสองบริษัท หรือแม้แต่งานปัจจุบันก็เรียกว่าสู้คว้าโอกาสมาได้เพราะทักษะภาษาอังกฤษเช่นกัน แน่นอนว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ย่อมต้องผ่านการขัดเกลามามายหลายองค์ประกอบ แต่ด้วย ’ความโอลีฟ’แหละ สมัยนี้ต้องพูดแบบนี้ใช่ไหม คือความแปลกประหลาดทั้งการเรียนรู้ที่ตกตะกอนมาสู่การสอน นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลร้อยพันประการที่ตัดสินใจไม่เลือกเรียนปริญญาโทด้านการสอนภาษาอังกฤษสำหรับคนต่างชาติแล้วต่อยอดเป็นครูอาชีพ เขียนตำราออกขาย เพราะโอลีฟไม่แน่ใจเลยว่า ‘ตำราแบบโอลีฟ’ จะได้มีค่าในทางวิชาการพอที่เอาไปสอนต่อได้ ทำไมน่ะหรือคะ คุณเคยเห็นครูที่ไหนสอนที่ไหนสอนชั่วโมงแรกก็ชวนคุยเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม การกระจายตัวของภาษาอังกฤษที่เจ้าของภาษาไม่ใช่แค่คนอังกฤษ หรือการร่าย 12 tense ในครั้งเดียวแต่ไม่ยอมสอนรูปประโยค ครูแบบนี้ใช้ชีวิตไม่ง่ายหรอกค่ะ ชีวิตการสอนของโอลีฟจึงแบ่งเป็นสองลักษณะชัดเจน คือติวข้อสอบ กับช่วยให้ใครสักคนสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ ใครเลือกอย่างที่สองนี่ เราต้องมานั่งทำความตกลงกันอย่างมั่นเหมาะทีเดียวเชียว ว่าสิ่งที่คุณจะเจอต่อไปนี้คือวิธีสอนแบบแปลกๆเพราะกับครูประหลาดๆ ถ้าตกลงยอมรับข้อนี้ได้เราก็ไปต่อกันได้ค่ะ สิ่งหนึ่งที่โอลีฟย้ำกับผู้เรียนเสมอคือเรากำลังเรียนภาษาของผู้ที่อยู่ห่างไกลจากเราหลายพันไมล์ และภาษาคือตรรกะทางความคิดที่กลั่นกรองจนตกผลึกต่อกันมาของชนชาตินั้น เพราะฉะนั้นเราเรียนแค่ภาษาของเขาไม่ได้ เราต้องพยายามเข้าใจแนวคิดของเขาด้วย ซึ่งวิธีคิดหรือความรู้สึกที่แตกต่างกันเหล่านี้มันซ่อนอยู่ในประโยคพื้นฐานในชีวิตประจำวันของเรามากมาย ตัวอย่างง่ายๆ เจอตั้งแต่ ป. 1 เช่น My name is ….. ประโยคนี้หากจะแปลให้ตรงตัว เราต้องแปลว่า ชื่อของฉันคือ….แต่คนไทยไม่พูดใช่ไหมคะ คนไทยพูดว่า ฉันชื่อ…. เพราะลักษณะทางภาษาของเราใช้คำว่า ‘ชื่อ’ เป็นเสมือนคำกริยา ในขณะที่ to name ในภาษาอังกฤษหมายถึง ‘ตั้งชื่อ’ ซึ่งปกติแล้วคนเราก็ไม่ได้ตั้งชื่อตังเองอยู่แล้วค่ะ หรือหากจะตั้งชื่อตัวเองกันจริงๆก็ไม่ตั้งกันทุกวันทุกวี่ เพราะฉะนั้นถ้าใครถามชื่อเรา เราจึงไม่บอก ‘I name Olive’ แน่นอน โอลีฟยกตัวอย่างการใช้ง่ายๆอย่างนี้ค่ะ โอลีฟไปซื้อลูกหมามาเลี้ยง ขนนุ่มฟูน่ารักมาก โอลีฟจึงตั้งชื่อมันว่าปุยฝ้าย I named it Puifai สังเกตอะไรไหมคะ ตั้งแล้วก็ตั้งเลย ตั้งเสร็จแล้วใช้เป็นรูป past simple tense อีกต่างหาก ก็ได้ชื่อแล้วจบแล้วนี่ค่ะ ต่อไปปุยฝ้ายมีเพื่อนน้องหมามาถามชื่อ ปุยฝ้ายที่ถูกโอลีฟตั้งชื่อไปแล้วจึงไม่สามารถพูดว่า I named Puifai ได้ นางต้องพูดว่า I was named Puifai ฉันได้รับการขนานนามว่า ปุยฝ้าย หรือ My name is Puifai ชื่อของหนูคือปุยฝ้ายค่ะ เห็นไหมคะ แค่ประโยคพื้นฐานที่เราเจอตั้งแต่ชั่วโมงแรกของภาษอังกฤษก็ซ่อนความแตกต่างทางวัฒนธรรมไว้แล้ว เหมือนที่โอลีฟบอกผู้เรียนเสมอค่ะ เราไม่ผิดหรอกที่บอกครั้งเราไม่เข้าใจเขาเลยหรือบางทีเหมือนจะรู้ศัพท์ทุกคำแต่ไม่เข้าใจก็ยังมี เรื่องแบบนี้ยังมีอีกเยอะเลยค่ะ แต่ขออนุญาตเก็บไว้ในตอนถัดๆไป ขออภัยที่รอบนี้บทนำยาวไปสักหน่อย ถือว่าปูพื้นฐานความเข้าใจไปพร้อมๆกันก่อน ไม่ได้เข้าใจบทเรียนนะคะ เข้าใจคนเขียนนี่แหละค่ะ เครดิตภาพปกและภาพประกอบโดยผู้เขียนแต่งภาพ Canva App เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !