Days of Heaven ชีวิตกับความไม่สมบูรณ์ ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง ผู้คนต่างหลีกเลี่ยงที่จะออกไปเผชิญกับฝุ่นควันและไวรัส ทำให้หลายคนได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ซึ่งบางทีอยู่กับตัวเองมากเกินไปอาจเกิดความเบื่อหน่ายได้ “ภาพยนตร์” จึงเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกของความบันเทิงที่น่าสนใจที่สามารถมอบทั้งความสนุก ความรู้ และประสบการณ์ใหม่โดยไม่ต้องก้าวเท้าออกจากบ้านแม้แต่นิดเดียว หากจะให้บอกชื่อภาพยนตร์ที่สนุกที่สุด คงต้องขอเวลาทำการเรียบเรียงใหม่ เพราะความสนุกนั้นหาได้จากภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง แต่ถ้าเป็นเรื่องความวิจิตรงดงามของภาพและเรื่องราว คงยากที่เรื่อง Days of Heaven (1978) จะไม่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นอันดับต้นๆ Terrence Malick สามารถกำกับ ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพที่สวยงามเหมือนอยู่ในความฝัน เขาเลือกใช้โทนแสงยามเย็น หรือแสง golden hour เป็นโทนหลักในภาพยนตร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สวยและตราตรึงที่สุดของธรรมชาติ ภาพยนตร์ของ Terrence ไม่ได้ฉูดฉาด แต่งดงามจากความเป็นธรรมชาติที่ตัวภาพยนตร์พยายามจะอุ้มชูไว้ทั้งเรื่อง ตัวเขาคงอยากให้ผู้ชมได้เห็นถึงความสวยงามเหล่านี้ที่อยู่กับชีวิตของผู้คนมาตั้งแต่เกิดแม้สังคมจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตามในด้านเนื้อหาของภาพยนตร์ มีหลายคนคิดว่าเนื้อหานั้นหลวม ไม่มีทิศทาง หรือจับประเด็นที่เด่นชัดไม่ได้ แต่ฉันมองว่ามันคือเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าให้เปรียบคงเหมือนกับภาพวาด ที่เราต้องนั่งมอง ทอดความรู้สึกและจินตนาการไปกับมัน ซึ่งบางทีจุดหมายปลายทางของมันอาจไม่ได้เป็นรูปร่าง แต่เราจะรับรู้ถึงความคิด ไอเดียบางอย่างที่กระจายอยู่ในองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่สมเหตุสมผล สีสัน ภาพ และเสียง เป็นภาพยนตร์ที่หลังจากชมเสร็จต้องกลับมานั่งคิดถึงชีวิตของตัวเอง และสิ่งที่เราจับต้องได้จากความไม่สมบูรณ์ของภาพยนตร์นี้ ที่พยายามเรียงร้อยให้เราเห็นภาพของผู้คนที่กำลังดิ้นรนใช้ชีวิตที่ไม่เพอร์เฟค บนโลกที่ไม่เพอร์เฟคNobody's perfect. There was never a perfect person around.You just have half-angel and half-devil in you.ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และไม่เคยมีคนที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีทั้งครึ่งนางฟ้าครึ่งปีศาจในตัว นี่คือบทพูดของสาวน้อยลินดา จากเรื่อง Days of Heaven ที่สามารถอธิบายมนุษย์ และธรรมชาติของโลกใบนี้ได้อย่างแยบยล Days of Heaven เป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสองพี่น้อง บิล ลินดา และแอบบี้แฟนสาวของบิล ที่ต้องหนีออกจากชิคาโกไปทำงานในฟาร์มข้าวสาลี โดยระหว่างทำงานอยู่ในฟาร์มเกิดเรื่องราวรักสามเศร้าที่กลายเป็นโศกนาฏกรรม นำมาซึ่งความสูญเสียและความตาย ซึ่งถึงแม้เราจะเห็นชีวิตของผู้คนที่ผูกพันกับธรรมชาติ ความดีงามของธรรมชาติ แต่ในอีกด้านธรรมชาติก็ยังนำมาซึ่งความสูญเสียและความสิ้นหวังโดยที่เราปฏิเสธหรือขัดขืนไม่ได้ อย่างการบุกของฝูงตั๊กแตนที่ทำให้ทุ่งข้าวสาลีเกิดความเสียหาย ไฟที่ลุกลามเผาผืนนาราบเป็นหน้ากอง ซึ่งหากเราเฝ้าดูเรื่องราวของพวกเขาผ่านมุมมองของลินดา ผ่านการเล่าด้วยภาษาภาพยนตร์ จะเห็นได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ถ่ายทอดออกมาคือธรรมชาติของชีวิต ชีวิตที่มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งสุขและเศร้า เป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แต่สมดุล สมดุลตามธรรมชาติ สมดุลตามผลของการกระทำ หรือตรรกะของโลกโดยภายในเรื่อง เราจะเห็นบิล กับ แอบบี้มีความสุขเวลาอยู่ด้วยกัน วิ่งเล่นในลำธาร เย้าหยอกกันในทุ่ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขายังคงต้องทุกข์ทนกับการทำงานที่หนัก ทนกับความลำบากของชนชั้นแรงงาน ทั้งความหิว ความอดอยาก ขณะเดียวกันเจ้าของฟาร์มผู้ร่ำรวยมีที่นาผืนใหญ่ มีบ้านที่สวยหรู มีอาหารที่เพียบพร้อม อยู่อย่างสุขสบาย กลับต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว และโรคร้ายที่ทำให้ชีวิตเขาสั้นลง จะเห็นได้ว่าชีวิตพวกเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ ซึ่งในความไม่สมบูรณ์นี่เองทำให้พวกเขาพยายามที่จะแสวงหาสิ่งที่ขาดหายไป ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามบอกกับเราว่า ไม่มีการกระทำใดเลยที่มาจากความเลวร้ายไปทั้งหมด ทุกคนมีจุดประสงค์ มีเป้าหมาย มีสถานการณ์แวดล้อมที่ต่างกันในการกระทำนั้นๆ ทุกคนรับรู้ถึงสิ่งที่ทำลงไป และแน่นอนว่าไม่มีใครที่จะมองเห็นถึงผลกระทบในอนาคตได้ ความไม่แน่นอน ความพยายามของมนุษย์ที่จะแสวงหา ดิ้นรนเพื่อเติมเต็มความไม่สมบูรณ์นี้เองที่ทำให้ชีวิตของเรางดงามและมีคุณค่าในวิถีของมัน หากกล่าวเรื่องความไม่สมบูรณ์ของชีวิตในปัจจุบันคงหลีกหนีเรื่องทุนนิยมไม่พ้น เพราะการเติมเต็มในการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้กลายเป็นเรื่องของวัตถุ ภาพยนตร์เรื่อง Days of Heaven ดำเนินเรื่องอยู่ในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา เราจะเห็นว่าการผลิตสิ่งของเป็นการผลิตจากโรงงานในปริมาณมากเพื่อขายเอากำไร เช่นเดียวกับการเกษตรที่ไม่ได้ปลูกเพื่อกินในครัวเรือนอีกต่อไป แต่เป็นการปลูกเพื่อขาย เป็นอุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่ การปฏิวัติอุตสาหกรรมเหล่านี้เองที่นำพาและขับเคลื่อนสังคมทุนนิยมส่งทอดมาถึงในปัจจุบัน ที่ทำให้พวกเราในสังคมต่างกลายมาเป็นพวกวัตถุนิยมที่ชื่นชม หลงใหล ให้ค่าในวัตถุ ไขว่คว้าหาวัตถุเหล่านั้นมาเติมเต็ม แล้วมองว่ามันจะช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้น หลงลืมสิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่มนุษยชาติยังไม่รู้ภาษา ลืมเลือนธรรมชาติที่มอบชีวิต เอาแต่ใช้ เอาแต่ทำลาย เพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้พยายามที่จะอนุรักษ์ มีโรงงานอุตสาหกรรมมากมายที่ปล่อยควันพิษในอากาศ ปล่อยของเสียลงแม่น้ำ ผู้คนไม่ได้ตื่นตัวหรือตระหนักมากพอที่จะออกมาแก้ไข ตอนนี้เรากำลังทำลายความสมดุลของธรรมชาติ ถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เราอาจจะเหมือนกับทุ่งข้าวสาลีของเจ้าของฟาร์มที่โดนกัดกินและทำลายเพื่อการปรับสมดุลของธรรมชาติที่เราไม่อาจหนีพ้นก็เป็นได้ขอขอบคุณ Paramount Picturesขอบคุณภาพประกอบจาก : imdb.com