มีหนังอยู่หลายเรื่อง ที่ดูแล้วไม่เคยล้าสมัย ไม่ได้หมายถึงแฟชั่นหรือวัฒนธรรมในหนัง แต่หมายถึงมุมมองความคิดของคนที่อยู่ในเนื้อเรื่อง และแน่นอน มุมมองนั้นก็ทำให้เกิดแง่คิดแก่คนที่ดูเรื่องนั้นต่อ และที่เหนือกว่าแง่คิด คือ แรงบันดาลใจ หนังที่ได้ชื่อว่าเป็นอย่างนั้นสำหรับเราเรื่องหนึ่งแน่ๆ คือ Dead Poets Society ตอนที่หนังเรื่องนี้เข้าเมืองไทย เรายังอยู่ในวัยที่ไม่ชื่นชมกับหนังสไตล์นี้ ไม่ชื่นชมคำโฆษณาของหนัง หรือดาราที่เล่น (Robin Williams) ทำให้เราไม่ได้ดูในโรง กว่าจะได้ดูอีกครั้ง ก็เป็นตอนที่เราโตขึ้น และได้ซาบซึ้งกับมันจริงๆ นี่ล่ะนะ ของบางอย่างก็มีเวลาของมัน ถ้าเราดูก่อนหรือหลังจากนั้นเราต้องรู้สึกต่างออกไปแน่ๆหนังพูดถึงชีวิตเด็กนักเรียนมัธยมปลาย ในโรงเรียนชายแบบหอพักระดับสูงของประเทศ คือ จำนวนนักเรียนน้อย แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมวิเศษสุด ไม่ว่าอาคารเรียน การศึกษาและการดูแล ที่พร้อมจะสร้างคุณชายตัวน้อยๆ ให้ออกมาเป็นระดับหัวกะทิของประเทศ มีการเรียนที่เข้มงวด ซึ่งแน่นอนว่าเด็กพวกนี้มาจากครอบครัวที่เข้มงวด มีค่านิยมแบบสมัยก่อนที่ว่าลูกชายต้องเรียนเก่ง เป็นผู้ดี ไม่ใช่แค่ผู้มีเงิน ถูกเลี้ยงดูและกล่อมเกลาในสภาพที่ค่อนข้างหัวโบราณ และการลงโทษที่โบราณ ครูทุกคนดูมีความรู้ และอายุรวมกันหลายพันปีอยู่ ออกแนวเอาผู้แก่คุณวุฒิมาสอน แต่ไม่ใช่ครูที่ชื่อ Keating (Robin Williams)Mr.Keating เคยเป็นศิษย์เก่าที่ถูกจ้างเข้ามาใหม่ และเค้าก็เริ่มบทเรียนโดยการพยายาม "ปลุก" เด็กๆ จากค่านิยมเก่าๆ ให้ "ตื่น" และรู้จักตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่มีอยู่อย่างเต็มที่และเป็นตัวของตัวเองได้เร็วขึ้น โดยวลีเด็ดที่เป็นที่รู้จักของใครหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้ คือ carpediemเค้าเริ่มสอนให้เด็กๆ คิดนอกกรอบ เด็กๆ ค้นเจอประวัติสมัยที่เค้าเป็นนักเรียนที่นี่และเคยก่อตั้งชมรม Dead Poets Society ขึ้นโดยบังเอิญและเดินตามรอยเค้า น่าเสียดายที่ประธานนักเรียนที่ "ตื่น" มาทำตามฝันนั้น อยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้มีแค่กรอบแต่เป็นกรงขัง การ "ปลุก" เด็กให้ออกมาโดยไม่ได้ช่วยเด็กให้เตรียมตัวเผชิญความจริงที่รออยู่ ทำให้ประธานนักเรียนที่จริงๆ แล้วซ่อนความอ่อนไหวไว้ ทำเรื่องที่เป็นตัวพลิกกลับสถานการณ์ทั้งหมด เด็กๆ ที่เหลือจึงได้เรียนรู้ว่ากรอบที่เค้าคิดว่าออกมาได้บ้างแล้ว กว้างกว่านั้นมากมายนักในที่สุด Mr.Keating ก็ต้องจากไป เหลือไว้เพียงความคิดที่แตกต่างที่เค้าเพาะทิ้งไว้ในหัวใจเด็กบางคน ซึ่งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเหมือนแกล้งที่ครูต้องเข้ามาเก็บของในห้องที่เด็กกำลังเรียนอยู่ การมองภาพที่ครูเก็บของและกำลังจะเดินจากไปทั้งๆ ที่เค้าเปรียบเสมือนฮีโร่ของเรานั้น เป็นสิ่งที่เด็กๆ ทนไม่ได้ และนั่นจึงทำให้เกิดภาพตอนสุดท้ายที่ประทับใจใครหลายๆ คนขึ้น พร้อมทั้งวลีเด็ดอีก 1 วลี คือ Oh Captain, my Captain ส่วนหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ยังอยู่ในใจใครหลายๆ คน อาจจะเป็นเพราะหนังเลือกเสนอส่วนที่เป็นความจริง คือชีวิตคนเราไม่ใช่มีแต่ความสุข 100% หรือทุกข์ 100% ไม่มีอะไรถูกที่สุดหรือผิดที่สุด เพียงแต่ค่านิยมใดที่เป็นที่ยอมรับ ณ ที่ใด เวลาใด Mr.Keating เพียงแต่มาที่นี่เร็วเกินไปเท่านั้น ถึงครูจะจากไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กๆ จะลืมสิ่งที่ครูเคยให้ และไม่ใช่ว่าพวกเค้าจะดำเนินชีวิตต่อไปไม่ได้ แต่แน่นอน ชีวิตของพวกเค้าจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเป็นหนังอีก 1 เรื่องที่ทำเราเสียน้ำตาทุกครั้งที่ดู ตามหา DVD มาเนิ่นนาน จนในที่สุดเพื่อนเลิฟเลยทำเซอร์ไพรส์โหลดมาให้ซะเลย ใครเป็นแฟน Ethan Hawks ต้องดูหนังเรื่องนี้ว่าสมัยนั้นเค้าดูเป็นเด็กไม่ประสีประสาขนาดไหน ขอแนะนำอย่างสุดหัวใจเลยว่าต้องหาดูขอให้ทุกคนมี carpediem อยู่ในใจ หรืออย่างน้อย หา your captain ให้เจอนะคะ Movie : Dead Poets SocietyDirected by Peter WeirStarring Robin WilliamsRelease date June 2, 1989Running time 129 minutesLanguage EnglishCredit ภาพปก : https://www.cinema.utoronto.ca/events/cinssu-free-friday-films-dead-poets-societyCredit ภาพอื่นๆ : https://www.imdb.com/title/tt0097165/mediaviewer/rm1115750912