(เครดิตภาพ : Pixabay) Ducati เป็นนามที่ทุกคนรู้จักกันดี เพราะเป็นแบรนด์รถยี่ห้อดังของรถบิ๊กไบค์ ซึ่งเป็นความฝันของผู้ชายหลาย ๆ คน แบรนด์นี้ยังให้คุณค่าทางด้านความ เท่ ความดุ ความหรูหรา เพราะเป็นแบรนด์ที่มาจากประเทศอิตาลี่ บอกเลยว่าแค่การได้ขับรถบิ๊กไบค์ แบรนด์ Ducati แค่ขี่ก็เท่กว่าแบรนด์อื่นมาก ๆ แล้ว และแบรนด์นี้ยังออกรถรุ่นใหม่ ๆ มาตอบสนองนักขี่ประเทศไทยหลายรุ่นมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น Diavel , Hypermotard , Street figther , Panigale และรุ่นดังอย่าง Monster ซึ่งรุ่นที่เป็นตัวแทน เรียกว่าเป็นรุ่นที่ดังที่สุด และมีคนขับมากที่สุดคงจะไม่พ้นรุ่น Monster และ ด้วยความที่ในปัจจุบัน รุ่นนี้ได้ไปถึงซีรีย์ 797 กันแล้ว แต่ Ducati Monster 796 ถือเป็นรุ่น ที่เป็นตำนานอย่างมาก ๆ ยังคงความเก๋า ที่ไม่เคยหายไปไหนเลย (เครดิตภาพ : ภาพโดยผู้เขียน) Ducati Monster 796 เป็นรุ่นก่อนหน้าที่จะออก Monster 797 ออกมา ซึ่งผลิตออกมาในปี 2014 ราคาเริ่มต้นตอนนั้นเพียง 499,000 บาท ด้วย Spec เทพ (รวมถึงของแต่งที่ติดมากับรถเป็นอุปกรณ์แท้จากอิตาลี่ทั้งหมดนะจ๊ะ)เครื่องยนต์ : L-Twin 803cc 2 วาล์ว ต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขนาด : 803 ซีซีแรงม้า : 87 แรงม้า ที่ 8250 รอบต่อนาทีสไตล์รถ : Nakedความสูงเบาะนั่ง : 800 มิลลิเมตรน้ำหนักรถ : 188 กิโลกรัม สำหรับราคาขายในตอนนั้นกับ Spec แบบนี้ถือว่าโหดและดุดันมาก ๆ อย่างที่บอกว่าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ดังนั้นในตอนที่เปิดตัวอกอมาขาย ทำยอดขายได้ถล่มทลายมาก ๆ แต่ในปัจจุบันไม่มีมือ 1 ขายแล้ว ราคามือสองประมาณ 230,000 - 300,000 บาท (เครดิตภาพ : ภาพโดยผู้เขียน) ด้วยความที่เป็นรถที่มีสไตล์การขับแบบ Naked ซึ่งจะต้องก้มตัวลงมาเล็กน้อย และตัวรถมีความปราดเปรียวมาก ๆ ทำให้สามารถใช้ได้ในกรุงเทพฯได้อย่างสบาย ๆ สิ่งที่เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์มาก ๆ ของแบรนด์นี้ก็คือ โครงสีแดง ที่ถักอยู่บริเวณตัวข้างรถทั้ง 2 สองข้าง เป็นสิ่งที่บอกตัวตนของความเป็น Ducati Monster ได้อย่างดี และสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของตัวนี้เลยก็คือ ท่อคู่(เครดิตภาพ : ภาพโดยผู้เขียน) Ducati Monster 796 เป็นรุ่นที่มีท่อออกด้านหลังเป็นท่อคู่ ซึ่งในรุ่นอื่น ๆ รวมถึงรุ่น 797 ที่ออกมาใหม่ จะเป็นท่อคู่ที่ออกด้านข้างเดียว ซึ่งทำให้ Monster 796 ที่เป็นท่อคู่ออกด้านหลังนั้น ดูเท่ และดุดันกว่ามาก ๆ ด้วยความที่ตัวรถเป็นเครื่องยนต์แบบ Twin Turbo 2 สูบ ทำให้เวลาสตาร์ทเครื่องนั้น เสียงจะมีความเป็นลูก ๆ ซึ่งจะเป็นเสียงที่ดังมากกว่ารถแบรนด์อื่น ๆ และเสียงยีงมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์มาก ๆ เรียกได้ว่า ขับไปไหน ถ้าได้ยินเสียงนี้ก็มั่นใจได้เลยว่าเป็น Ducati Monster 796 แน่ ๆ (เสียงมันแตกต่างจาก รถรุ่นอื่น ๆ จริง ๆ ผู้เขียนได้ทดลองฟังมาหลายทีแล้ว) และยิ่งถ้าเปลี่ยนท่อละก็ หึหึ เสียงเป็นเอกลักษณ์สุด ๆ เรียกได้ว่า กระหึ่มแบบโดนใจเลยทีเดียว (สำหรับท่านไหนที่คิดจะเปลี่ยนท่ออย่าลืมศึกษากฏหมายด้วยนะ) (เครดิตภาพ : ภาพโดยผู้เขียน) และสิ่งที่แตกต่างมาก ๆ จากรุ่นอื่น ๆ คือโปร์อาร์ม สังเกตง่าย ๆ เลยคือ บริเวณล้อหลังทั้งล้อ จะมีแกนตัวยึดจากรถเพียงด้านเดียว ทำให้อีกข้างเป็นการโชว์ล้อแม็กซ์แบบเต็ม ๆ และด้วยความที่ไม่มีท่อมาบัง ทำให้เวลามองไปที่รถแล้ว มันทำให้เกิดความลงตัวแบบสุด ๆ แถมยังถ้ารถมาพร้อมกับเสียงละก็ อื้อหือ อยากจะเข้าไปขับด้วยเลย (เครดิตภาพ : ภาพโดยผู้เขียน) แต่ด้วยความที่เป็นรถที่ผลิตมาจากประเทศอิตาลี่ การระบายความร้อนจะเป็นการระบายด้วยลม อธิบายง่าย ๆ ก็คือตัวรถไม่มีหม้อน้ำ การระบายความร้อนจะออกมาจากกระจังด้านหน้าเพียงอย่างเดียว นั่นทำให้เวลาจอดติดไฟแดง จะมีความรู้สึกเหมือนเรากำลังโดนลวกไข่อยู่นั่นเอง แต่พอเวลาขับไปตามทางจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่ถ้าเครื่องร้อนและขับด้วยความเร็วที่ไม่มาก จะรู้สึกถึงไอความร้อนที่มากระทบขา ซึ่งถ้าขับในประเทศไทยและในกรุงเทพฯแล้วละก็ ข้อนี้เป็นข้อเสียมากจริง ๆ แต่สำหรับคนที่ชอบ และไม่ติดใจอะไรก็ไม่มีปัญหา ชอบซะอย่าง ไม่สนไม่แคร์ ขับเพื่อความเท่ล้วน ๆ ปัญหานี้เกิดการถกเถียงกันอย่างเป็นวงกว้างมาก ๆ ซึ่งข้อสรุปสำหรับปัญหานี้ มีผู้มาตอบแล้ว นั่นก็คือ "คนขับไม่ได้บ่น คนที่บ่นคือคนที่ไม่ได้ขับ"(เครดิตภาพ : Pixabay) Ducati Monster 796 ถือเป็นรุ่นรถที่ยังคงมีความเก๋ามาก ๆ ถึงแม้ว่าจะผ่านไปหลายปีมาก ๆ แล้วที่รถตัวนี้ได้ออกมาสู่สายตาประชาชน มีหลายท่านที่ได้ขับ และครอบครองกันมาแล้ว แต่เชื่อว่าทุกท่านในปจจุบัน ยังคงเห็น Monster ตัวนี้โลดแล่นอยู่บนถนนกันเป็นประจำ และยังคงมีคนตามหาอยากเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้กันอีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบัน ราคาไม่ได้แพงมากแล้ว (แต่ก็ยังแพงอยู่ดี)สามารถหาขับขี่กันได้เลย และผู้เขียนบอกได้เลย และมั่นใจมาก ๆ ว่าคนที่ได้ขับและทดลองขับแล้วนั้น ต้องถูกใจและหลงรักรถคันนี้อย่างแน่นอน