การเป็นมนุษย์เงินเดือนจะหาเวลาเดินทางท่องเที่ยวก็ช่างยากเย็น ครั้นจะไปเที่ยวในวันหยุดยาวก็ไม่ไหวจะแย่งชิงกับผู้คนมากมายที่ไปเที่ยวพร้อมกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดสรรวันหยุดกันเลยจ้า จัดทริปแรกของปีตั้งแต่กลางเดือนมกราคมลางาน 1 วัน จุดหมายเพื่อพักผ่อนสูดอากาศเย็นๆ นอนเล่นริมฝั่งโขง อ.เชียงคาน จ.เลยเราเริ่มต้นออกเดินทางจาก กทม. เวลา 20.00 น. ของวันพฤหัส (ลางานวันศุกร์ 1 วัน) พร้อมสมาชิกชาวแก๊งค์ โดยมี Toyota Corolla Cross พาเที่ยว ใช้ GPS นำทางไปตามถนนพหลโยธิน แล้วตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 21 สระบุรี-หล่มสัก เข้าจ. เลย ผ่านอ.ภูเรือ อ.ท่าลี่ จบที่ อ. เชียงคาน และ รถ TOYOTA รุ่นนี้เป็นรถยนต์ไฮบริดจ์ จึงทำให้ประหยัดค่าน้ำมันไปได้เยอะ ระหว่างทางก็แวะพักให้คนขับได้นอนเอาแรงกันสักหน่อยที่จ.เพชรบูรณ์ เช้าวันศุกร์เราออกเดินทางจากเพชรบูรณ์กันแต่เช้าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มีแวะพักระหว่างทาง กินข้าว จิบกาแฟ เข้าห้องน้ำ และเติมน้ำมันบ้าง ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงจุดหมายแรกของเรา นั่นคือ สกายวอล์คเชียงคาน สักการะพระใหญ่ภูคกงิ้ว แล้วขึ้นไปวัดใจให้อะดรีนาลีนได้ทำงาน ขาสั่นบนสะพานกระจกหน้าองค์พระใหญ่ชมวิวจุดบรรจบกันของแม่น้ำโขงประเทศไทยกับแม่น้ำเหืองของประเทศลาว และนี่ก็เป็นจุดแลนด์มาร์คสำคัญที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว มีจุดให้เที่ยวชม 2 จุด คือปางช้าง และสกายวอล์ค ค่าตั๋วพร้อมรองเท้าเดินสกายวอล์ค 60 บาท แต่ถ้าไปปางช้างด้วยก็เพิ่มเป็น 80 บาท ซึ่งเมื่อซื้อตั๋วแล้วนั่งรถสองแถวเขาจะไปส่งตามตั๋วที่เราซื้อ แต่เพราะพวกเรามีเวลาน้อยเลยซื้อตั๋วและรองเท้าเข้าชมสกายวอล์คที่เดียว นั่งรถไม่ถึงสิบนาทีรถก็ส่งพวกเราลงบนเขาตรงทางเข้าสักการะพระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ (พระใหญ่ภูคกงิ้ว) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นทอง สูงกว่า 19 เมตร พวกเราก็พากันเข้าไปสักการระพระใหญ่ด้วยกรวยดอกไม้สีขาว 2 อัน เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วก็เดินเข้าสะพานกระจกใสที่มีความสูงกว่าระดับน้ำโขงประมาณ 80 เมตร หรือเทียบเท่ากับตึก 30 ชั้นกันเลยทีเดียว มีความยาวของสะพานมากกว่า100เมตร สามารถชมวิวแม่น้ำเหืองไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงซึ่งมองเห็นเป็นแม่น้ำสองสีได้อย่างชัดเจน โชคดีที่แดดยามบ่ายวันนี้ไม่แรงมาก แถมมีลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา มองออกไปไกลๆก็สบายตาสบายใจ แต่เมื่อใดที่ก้มลงมองพื้นก็ใจหวิวขึ้นมาทันที เมื่อลงมาจากสกายวอล์คก็มีร้านค้าขายของกินของฝากมากมายสามารถเลือกกินเลือกช้อปได้ตามใจชอบจากนั้นก็ขับรถอีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงถนนคนเดินเชียงคานเพื่อเข้าเช็คอินที่ The Old ChiangKhan Boutique Hotel ที่เราเลือกพักกันที่นี่เพราะมีที่จอดรถด้วย เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็หาเช่าจักรยานออกไปปั่นรับลม ชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางอากาศเย็นสบายที่ค่อนไปทางหนาวกันเลยทีเดียว ซึ่งมีเส้นทางเฉพาะสำหรับวิ่ง และมีเลนปั่นจักรยานด้วย ความยาวทั้งหมดประมาณ 5 กม. จากถนนคนเดินเชียงคานไปสิ้นสุดที่แก่งคุดคู้ แต่เราไปไม่ถึงเพราะพระอาทิตย์ตกดินเสียก่อน พอเริ่มค่ำถนนคนเดินก็เริ่มคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากมาย สำหรับมื้อเย็นวันนี้เราคงต้องหาจากถนนคนเดินนี่ละ มีของกินมากมายหลายประเภทจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว เมื่อมาถึงที่นี่แล้วเราต้องลองชิมกุ้งแม่น้ำโขงย่างกันสักหน่อย มีกุ้งสามขนาดเสียบขายไม้ละ 10, 20 และ 30 บาทตามลำดับ สำหรับเราขนาดเล็กดูจะอร่อยสุด เพราะกรอบและเคี้ยวง่ายสุด นอกจากนี้ก็จะมีปู และหอยเสียบไม้ขายด้วยเช่นกัน ส่วนอาหารมื้อหลักก็มีขายมากมายเช่น พิซซ่า ข้าวขาหมู ผัดไทย ข้าวเปียกเส้น เป็นต้น เรามาสะดุดตาที่ "ข้าวปุ้นฮ้อน" ชื่อแปลกเลยลองชิมดู รดชาติจัดจ้านคล้ายยำทั่วไป แต่เป็นการนำขนมจีนเส้นสดที่เพิ่งบีบออกมาร้อนๆมาปรุงเป็นยำใส่ผักกะหล่ำปลีจนได้รสเผ็ด เปรี้ยว หวาน จัดจ้านกำลังดี เดินไปเรื่อยๆเราก็ได้ของกินกันเพิ่มมาเรื่อยๆจนเต็มไม้เต็มมือ จนต้องกลับมานั่งกินที่ที่พัก กินกันไปคุยกันไป อากาศก็เริ่มหนาวเย็นลงเรื่อยๆ จนต้องเดินออกไปบนถนนคนเดินอีกครั้ง เพื่อทำร่างกายให้อบอุ่นและหานมร้อนๆดื่ม คืนนี้จะได้นอนหลับสบายแน่นอน แล้วรอติดตาม EP2. ต่อนะคะ ว่าเราจะพาไปเที่ยวไหนกันต่อค่ะภาพหน้าปกและภาพประกอบทั้งหมดจัดทำโดย Noonee อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !