เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราตื่นกันตั้งแต่ตีห้า เจอกับอุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียส ไม่อาบน้ำจ้า คว้าเสื้อกันหนาวขึ้นรถไปชมทะเลหมอกกันเลย เราเช่ารถสกายแล็ป คนละ100 บาท ท้าลมหนาวเพื่อขึ้นภูทอก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงจุดบริการรถขึ้นภูทอกอีกคนละ 25 บาท ซึ่งเป็นรถกระบะของคนท้องถิ่น เมื่อขึ้นถึงยอดภูก็เจอคนมารอชมพระอาทิตย์กันคราคร่ำจนแทบหาที่ยืนริมผาไม่ได้เลย พวกเราเลยเดินถ่ายรูปบริเวณรอบๆ เลาะริมผาไปเรื่อยๆ เจอที่ว่างเพียงเล็กน้อยก็หามุมถ่ายรูปกันจนได้ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมาทักทาย แสงสีส้มตัดกับไอหมอกที่จับตัวเป็นก้อนสีขาวหนาแน่นเบื้องล่าง สะกดสายตานักท่องเที่ยวนับพันบนภูทอก ต่างพากันหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปบ้างถ่ายวีดีโอบ้าง ลืมเรื่องอากาศหนาวกันไปเลยทีเดียว นี่คือรางวัลของคนตื่นเช้าและรอคอยจริงๆ โชคดีที่วันนี้ยังมีทะเลหมอกให้ได้ชม เพราะก่อนขึ้นมาคนที่นี่บอกอาจไม่ได้เจอหมอกช่วงเวลานี้ นั่งรถลงมาตรงจุดบริการก็มีอาหารเช้าง่ายๆ เช่น ปาท่องโก๋ กาแฟ นมสด มาม่าคัพ พร้อมทั้งของที่ระลึกขายอยู่มากมายสามารถเลือกซื้อหากันได้ตามสะดวกเลย ระหว่างทางที่นั่งรถสกายแล็ปกลับที่พัก จะต้องแวะชมความงามของแก่งคุดคู้ ซึ่งรวมในแพ็คเก็จ 100 บาทต่อคนระหว่างทางที่ผ่านมีร้านมะพร้าวแก้วเยอะไปหมด แต่ไม่มีบ้านไหนมีสวนมะพร้าวเลย คุณลุงคนขับเล่าว่าเขารับมะพร้าวมาจากราชบุรีบ้าง สมุทรสาครบ้าง และมาทำเป็นมะพร้าวแก้วสูตรของเชียงคานที่อร่อย เนื้อนุ่มและหวานกำลังดี แถมคุณลุงใจดีบอกว่าตอนกลับจากแก่งคุดคู้จะพาแวะไปชิมของมะพร้าวแก้วที่อร่อยของที่นี่ งั้นก็ตามนั้นเลยค่ะ เมื่อมาถึงแก่งคุดคู้นี่น่าจะเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดก็เป็นได้ ซึ่งช่วงนี้เป็นเวลาที่แม่น้ำโขงเริ่มลด จนมองเห็นเป็นลานหินกว้างสามารถเดินลงไปสัมผัสแม่น้ำโขงได้อย่างใกล้ชิด ด้านหลังแม่น้ำโขงมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอยู่เหนือเทือกเขาใหญ่ที่กั้น มีหมอกขาวบางๆลอยเหนือผิวน้ำ และที่นี่จะมีบริการนั่งเรือชมวิวแม่น้ำโขง หรือถ้าสายบุญก็สามารถปล่อยปลาที่นี่ได้ค่ะ ระหว่างทางกลับที่พักเราได้แวะร้านมะพร้าวแก้วของฝากขึ้นชื่อของที่นี่ตามที่คุณลุงบอก ชื่อร้านบุษบามีมะพร้าวแก้วให้ชิมหลายแบบ และยังมีน้ำมะพร้าวให้บริการได้ชื่นใจกันฟรีๆไปเลย ชมวิธีการทำแบบสดๆ เมื่อซื้อของกันเรียบร้อยก็ยังแจกน้ำตาลมะพร้าวให้กลับบ้านอีกคนละ 1 แพ็ค ใจดีมากๆพอกลับมาถึงที่พักไปหามื้อเช้ากินโดยใช้คูปองจากที่พัก ซึ่งมีให้เลือกได้รายการละหนึ่งอย่าง ถ้าใครต้องการเพิ่มเติมก็จ่ายเงินเพิ่มเอา เราเลือกเป็นข้าวเปียกเส้น ขนมปังปิ้ง และโอวัลตินร้อน ก็อิ่มพอดีสำหรับมื้อเช้า จากนั้นก็แยกกันไปพักผ่อน เดินเลียบถนนชายโขงไปไหว้พระที่วัดท่าคกและวัดศรีคุนเมืองซึ่งอยู่จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดถนนคนเดิน พร้อมกับเดินรับลมชิวๆ ริมแม่น้ำโขงกับอากาศที่เย็นสบาย เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงเราจะขับรถออกไปเที่ยวที่ไกลออกไปจากริมโขงสักหน่อย มาเริ่มต้นกันที่ หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวไทดำ ที่อพยพมาจากเมืองเชียงขวาง สปป.ลาว และยังคงรักษาวัฒนธรรมของพวกเขาไว้อย่างเหนียวแน่น เขาจะมีการแสดงของเด็กๆชาวไทดำให้ชม มีเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันให้ชม ให้ทดลองเดินขาหยั่ง และมีชุดพื้นเมืองให้ลองใส่ถ่ายรูปกัน แถมผู้คนที่นี่ก็น่ารักมากด้วย จากนั้นเราก็ขับรถลัดเลาะทุ่งนาและหมู่บ้านขึ้นเขาไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ที่วัดพระบาทภูควายเงิน ซึ่งเป็นรอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่บนหินพร้า (หินลับมีด) ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยแตก แต่ไม่มีอักษรใดๆจารึกไว้ มีความยาว 120ซม. กว้าง 65 ซม. เป็นที่เคารพบูชาของผู้คนบริเวณนั้นมาตั้งแต่อดีต และปัจจุบันที่นี่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว เดินออกไปด้านนอกจะมีจุดชมวิว และกรงเลี้ยงกระต่ายที่มีกระต่ายจำนวนหลายสิบตัว โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปป้อนอาหาร สัมผัสกระต่ายได้อย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว น้องๆทุกตัวเชื่องและน่ารักสามารถจับเล่นได้เที่ยวกันจนเหนื่อยแล้วก็มาพักจิบกาแฟ พร้อมชมวิวแก่งคุดคู้ยามบ่ายๆ กันที่ บ้านติดดิน คาเฟ่ ซึ่งถือเป็นคาเฟ่ที่วิวสวยเหมาะกับคนชอบถ่ายรูป เพราะทุกมุมของร้านน่าถ่ายรูปไปหมด ส่วนราคาเครื่องดื่มและอาหารราคาก็สูงกว่าร้านอื่นๆในเชียงคานนิดหน่อยเป็นค่าสถานที่ที่สวยงามไว้ให้ถ่ายรูปกัน เสร็จแล้วก็กลับที่พักกันเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ถ้ากลับช้ากว่า 16.00 น. ถนนคนเดินจะปิดไม่ให้รถผ่านเข้าที่พักลำบาก พนักงานบอกให้เราขับรถอ้อมไปเข้าอีกซอย แล้วเราก็มาไม่ทันต้องขับรถอ้อมตามที่พนักงานแจ้งไว้ จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นชมพระอาทิตย์ตกดินอีกครั้งริมฝั่งโขง แล้วก็ไปเดินหาของกินที่ถนนคนเดินกันเหมือนเมื่อวาน แต่ที่ต่างไปคือวันนี้คนเยอะกว่าเมื่อวานหลายเท่า จนต้องเดินเบียดกัน แต่เมื่อวานเราเล็งๆอาหารไว้แล้วเลยเดินไปซื้อตามจุดหมายแล้วกลับมานั่งกินที่พักเหมือนเดิมเช้าวันสุดท้ายที่เชียงคาน ซึ่งยังไม่อยากกลับเลย วันนี้พวกเราก็ตื่นแต่เช้ามาตักบาตรข้าวเหนียวตอน 6.00 น. ได้ติดต่อชุดใส่บาตรกับทางที่พักไว้ พอถึงเวลาพนักงานก็มาเรียก ซึ่งของที่เขาเตรียมไว้ให้ใส่บาตรจะมีข้าวเหนียวสองกระติ๊บใส่บาตรพระได้ประมาณ 10 รูป ถ้าต้องการกับข้าว ขนม น้ำดื่ม ก็สามารถซื้อเพิ่มได้จากแม่ค้าที่เดินขายอยู่บริเวณนั้น โดยเขาจะปูเสื่อให้เรานั่งรอใส่บาตรที่พื้นถนน หากใครมีปัญหาสุขภาพนั่งพื้นไม่ได้ก็จะเอาโต๊ะเล็กพร้อมเก้าอี้มาให้นั่งแทน พอพระท่านเดินมารับบิณฑบาตร เราก็หยิบข้าวเหนียวเป็นก้อนพอดีคำใส่ลงไปในบาตร โดยห้ามปั้นเด็ดขาด เพราะพระท่านจะฉันยาก เมื่อทำบุญใส่บาตรอิ่มใจกันแล้ว ก็ไปเดินดื่มด่ำกับบรรยากาศริมโขงเพื่อเป็นการอำลาอีกครั้งริมโขงยามเช้าวันนี้อากาศเย็ยสบาย อุณหภูมิประมาณ 14 องศาเซลเซียส มีลมพัดผ่านตลอดเวลา มองข้ามไปฝั่ง สปป.ลาวเห็นเป็นไอหมอกสีขาวเป็นสายไหลเข้ามาฝั่งไทย กระทบกับแดดอ่อนๆยามเช้าดูสบายตา แค่ได้มานอนรับลมเย็นๆที่นี่ก็ทำให้ได้เติมพลังชีวิตมากทีเดียว สายๆท้องเริ่มหิวก็ไปรับประทานอาหารเช้า เก็บของกลับ กทม. ทำงานที่เรารักกันต่อไป ซึ่งเราออกจากที่พักประมาณ 10.00 น. โดยใช้เส้นทางเดิมตาม GPS เหมือนขาไป แค่ไม่แวะเข้าท่าลี่ ขับตรงเข้า อ.ภูเรือ แล้วใช้เส้นทางถนนหล่มสัก-สระบุรี เข้าถนนพหลโยธิน ขึ้นมอเตอร์เวย์ ถึง กทม. ประมาณ 21.00น. ภาพหน้าปกและภาพประกอบทั้งหมดจัดทำโดย Nooneeแชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”