ไม่แน่ใจว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนเคยได้ยินคำศัพท์ใหม่คำนี้ไหม FOMO คำนี้เป็นคำที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายปีแล้ว ซึ่งมาพร้อมกับการหลั่งไหลเข้ามาของข้อมูลในโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียนี้เอง ซึ่งวันนี้ที่เราอยากมาแชร์เรื่องราวของคำศัพท์ FOMO ให้ฟังเพราะว่ามีประเด็นที่น่าสนใจของคำศัพท์นี้ เพราะมันส่งผลถึงสุขภาพจิตของใครหลาย ๆ คนโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการรู้เท่าทันตัวเองว่าเรากำลังเป็นคน FOMO หรือเปล่า จะช่วยให้รับมือกับอารมณ์ภายในได้ด้วย และไม่ทำให้เกิดปัญหา Mental Health ในภายหลังได้ด้วยค่ะ ภาพถ่ายโดย Kaboompics .com จาก Pexels FOMO คืออะไร และมีผลกระทบอย่างไรกับคนเรา ?FOMO ย่อมาจากคำว่า Fear of Missing Out หรืออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายว่า อาการกลัวการพลาดข้อมูลสำคัญ ๆ หรือกลัวการไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในข้อมูลสำคัญ ๆ หรืออาจจะเรียกว่ากลัวการตกเทรนด์ก็ได้ เพราะมนุษย์นั้นโดยรากฐานนั้นคือสัตว์สังคมที่ต้องมีการอยู่เป็นกลุ่มก้อนและมีการแสดงความคิดเห็นหรือคิดไปในทางที่คล้ายคลึงกันเพราะอยู่ร่วมกันในสังคมจนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบแผนเดียวกัน ดังนั้นการที่รู้สึกว่า FOMO นั้น จะทำให้เรารู้สึกว่าแตกแยกจากสังคม หรือแม้กระทั่งการที่เห็นเพื่อนโพสต์ช่วงเวลาที่มีความสุขในการไปเที่ยว แล้วรู้สึกเปรียบเทียบกับตัวเองว่า ทำไมฉันถึงไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ก็ถือว่าเป็น FOMO เช่นเดียวกันFOMO นั้นหากเราสามารถเปลี่ยนเป็นแง่มุมด้าน Positive ก็จะไม่ได้ส่งผลด้านปัญหาสุขภาพจิตต่อเรานัก เช่น การช่วยกันแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมก็ถือว่าเป็นการแปรเปลี่ยน FOMO เป็นด้านดี แต่หากว่าทุกครั้งที่เรารับข้อมูลข่าวสารแล้วมีความรู้สึกด้านลบ รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์สวิง ขึ้น ๆ ลง วิตกกังวลไปกับข้อมูลที่ได้รับ แบบนี้ย่อมส่งผลให้เกิดภาวะความเครียด หงุดหงิด และอาจทำให้เกิดเป็น 1 ใน สาเหตุของโรคซึมเศร้าได้เช่นเดียวกัน ภาพถ่ายโดย Andrea Piacquadio จาก Pexels แล้วเราจะจัดการอารมณ์เมื่อเกิด FOMO ได้อย่างไร ? 1. แยกแยะให้ได้ว่า โลกออนไลน์นั้นมีสองด้าน จริง-ไม่จริงเราเองเคยมีอาการแบบทำงานเหนื่อย ๆ แล้วเจอโพสต์ไปเที่ยวแล้วรู้สึกอิจฉาผสมกับอาการหงุดหงิดที่ตัวเองไม่ได้ไป หลังจากนั้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์ทางด้านลบอยู่ จึงรีบออกจากโลกออนไลน์แล้วต้องมานั่งสงบอารมณ์ของตัวเองซักพัก จากนั้นเราจึงคิดได้ว่า ในโลกออนไลน์นั้น ไม่มีใครจะโพสต์แต่เรื่องแย่ ๆ ของตัวเอง ทั้งที่ในชีวิตจริงมันอาจไม่ได้สวยงาม เพอร์เฟคเหมือนในโลกโซเชียลมีเดีย ดังนั้นแทนที่จะเกิดความรู้สึกแบบนั้น เราพยายามเปลี่ยนเป็นด้านบวกและยินดีไปกับเพื่อนดีกว่า แม้เราจะมารู้ทีหลังว่าในโลกของออนไลน์นั้นไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด 100 % ก็ตาม 2. ฝึกที่จะไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับคุณบ้างและด้วยความที่เรามักจะโพสต์แต่ความสวยงาม เรื่องราวดี ๆ มากมายในชีวิตผ่านโลกโซเชียล บางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องทำทุกอย่างให้ดูโอเคผ่านโลกออนไลน์ต่อหน้าผู้คนที่เราไม่รู้จักอย่างไม่รู้ตัว จนกลายเป็นว่าเราแคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเราไปด้วย (แม้ว่าจริง ๆ คนเหล่านั้นอาจจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ มากดไลค์แล้วก็ผ่านไป ) ซึ่งหากคุณเรียนรู้ที่จะเข้าใจว่า ไม่จำเป็นต้องแคร์คนอื่น ในเรื่องคุณไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และการที่คุณไม่แคร์ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง จะทำให้คุณมีความสุขและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น คุณก็ควรจะฝึกในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ภาพถ่ายโดย Jill Wellington จาก Pexels 3. เรียนรู้ที่จะมีความสุขแบบ JOMOJOMO นั้นแตกต่างกับ FOMO ตรงที่ว่า เราฝึกในการตระหนักรู้กับอารมณ์ของตัวเองอย่างมีสติ เวลาที่เราเห็นโพสต์ของเพื่อนในสถานที่สวยงามต่าง ๆ แทนที่จะรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมเราไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ให้ฝึกในการแสดงความยินดีกับเพื่อน ๆ ด้วยการโพสต์ยินดีที่เพื่อนมีความสุข แม้คุณจะรู้สึกฝืนใจที่จะทำ แต่เชื่อเถอะว่าการฝึกวิธีคิดแบบนั้นจะช่วยให้คุณมีความรู้สึกด้านบวกได้ และที่สำคัญที่สุดคือ การฝึกคิดว่า แม้คุณจะไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ใช่คนสำคัญ ไม่ใช่คนที่ไม่มีค่า มีความหมาย มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างในชีวิตที่รอให้คุณทำอีกมากมาย มากกว่าการไปเฝ้าคิดกังวลว่าทำไมฉันถึงพลาดอะไรไป และอีกหนึ่งเทคนิคที่เราใช้และได้ผลคือ การโฟกัสกับการทำงาน และลดเวลาในการเข้าไปอยู่ในโลกโซเชียลให้น้อยลง จนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว เพราะงานยุ่ง ฮ่า ๆ ซึ่งถามว่าเราพลาดข่าวสารข้อมูลสำคัญไปไหม ก็ต้องบอกว่า พลาดค่ะ แต่ไม่นาน เพราะสุดท้ายเพื่อน ๆ รอบตัวก็มาแชร์ข้อมูลข่าวสารให้ฟังอยู่ดี เลยรู้สึกว่าแม้เราไม่ไปรับข้อมูลมาเอง ก็มีคนมาแชร์ข้อมูลให้เราฟังอยู่ดี ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้นไปด้วย เพราะเรามีบทสนทนาในการพูดคุยกันมากขึ้น สิ่งที่เราได้รับข้อมูลมาจากโลกออนไลน์นั้น สิ่งสำคัญคือการรับรู้อย่างมี "สติ" เพราะข้อมูลที่เรารับมานั้นมันมากขึ้น มากขึ้นในทุก ๆ วัน หากทักษะในการกลั่นกรองข้อมูลของเรามีไม่เท่าการรับมาของข้อมูล ผลกระทบที่เกิดย่อมส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของเราไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน ภาพถ่ายโดย Lisa Fotios จาก Pexels