“Come Home”เป็นคำพูดสั้นๆ ก่อนที่ Mary Austin จะลา Freddie Mercury ไปในช่วงที่น่าจะเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตของ Freddie เลยก็ว่าได้ คำว่าบ้านในความหมายของ Mary ไม่ได้หมายถึงบ้านที่ Freddie เกิดหรือครอบครัวที่ Freddie เลือกเดินออกมานานแล้ว แต่หมายถึงเพื่อนๆ สมาชิกวงควีน ที่ Freddie เป็นนักร้องนำ ที่ต่างพูดกันเสมอว่า เราคือครอบครัว (We are family)Freddie เลือกที่จะเดินจากเพื่อนๆ ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวด้วยหลากหลายเหตุผล ทั้งความรู้สึกแปลกแยกในตัวเองที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ ความเปลี่ยวเหงาท่ามกลางเพื่อนๆ ที่ต่างก็ไปมีครอบครัว หรือแม้แต่ Mary ที่เลิกรากันไปก็ไปมีครอบครัวใหม่ของตัวเอง ความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งปรากฏชัดทั้งในแววตาและน้ำเสียงหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับ Freddie ทำให้มีพื้นที่สำหรับคนที่ไม่หวังดีและหาผลประโยชน์แทรกตัวเข้ามาโดยง่าย รวมถึงยุยงให้วงแตก ด้วยการเสนอให้ Freddie ไปเป็นศิลปินเดี่ยวด้วยผลตอบแทนที่มากกว่าทั้งวงเคยได้รับ และเมื่อตัดสินใจออกมาทำเพลงเอง ก็ทำให้ Freddie รับรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาขาดอะไรกันแน่ เขามัวแต่ออกวิ่งตามหาสิ่งที่เขาคิดว่าเขาขาด ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามีสิ่งนั้นอยู่แล้ว ผู้คนใหม่ๆ ที่เขาเจอไม่ได้ช่วยเติมเต็มสิ่งที่หายไปได้เลยจริงๆ แล้ว ถึงจะออกอัลบั้มเดี่ยว และใช้ชีวิตในจุดที่ตกต่ำ ทั้งการปาร์ตี้และมั่วสุม จนส่งผลต่อสุขภาพและความเศร้าในตอนท้าย แต่ความอัจฉริยะของ Freddie ก็ไม่ได้ลดลงเลย ผลงานเดี่ยวของเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก มีเพลงหนึ่งที่ผมชอบมาก นั่นคือ The Great Pretender (ซึ่งในหนังไม่ได้พูดถึงเลย) อีกจุดหนึ่งที่สะท้อนถึงตัวตนของ Freddie ที่ชอบทำอะไรให้แตกต่างและโดดเด่นอยู่เสมอ น่าจะมาจากความรู้สึกที่ต่ำต้อยจากการถูกเรียกว่า ปากี มาตลอด หรือการไม่ยอมรับเชื้อชาติที่ตัวเองเป็น ชื่อที่ตัวเองมี จนต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Freddie Mercury ส่งผลนำไปสู่การสร้างการยอมรับผ่านการแสดงออกที่สุดโต่ง การแต่งกายที่ Brian May เพื่อนร่วมวงยังแซวเลยว่าเหมือนกิ้งก่าที่โกรธเกรี้ยว รวมไปถึงการคิดที่แตกต่าง และล้ำหน้าผู้คนในการทำเพลงไปหลายก้าวเลยหนังได้เล่าที่มาของเพลงดังหลายๆ เพลงของ Queen ไม่ว่าจะเป็น Bohemian Rhapsody ที่มาจากความต้องการให้เพลงมีความเป็นโอเปร่าร๊อค และมีจังหวะที่หลากหลาย บทสนทนาระหว่างสมาชิกวง Queen และนายทุนอย่าง Ray Foster สะท้อนภาพขององค์กรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เมื่อมีคนเสนอความคิดเห็นที่แปลกใหม่ ก้าวหน้า และแตกต่าง ด้วยความมั่นใจว่าจะยกระดับความสำเร็จให้สูงขึ้น แต่ก็ได้รับการต่อต้านRay เป็นเหมือนตัวแทนของผู้บริหารในองค์กร ที่ผ่านความสำเร็จมามากมาย เป็นผู้บริหารของ EMI Record ที่อยู่เบื้องหลังของศิลปินดังจำนวนมาก อยู่ในวงการนี้มานาน จนมั่นใจว่ารู้สูตรสำเร็จที่จะทำให้เพลงดังได้อย่างไร เช่น เพลงที่จะดังความยาวต้องไม่เกิน 3 นาที ซึ่ง Bohemian Rhapsody ไม่ได้อยู่ในสูตรของ Ray เลย (เพลง Bohemian Rhapsody ยาว 6 นาทีกว่า) ความไม่เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น และแน่นอนเจ้าของเงินย่อมเป็นฝ่ายชนะแต่ความดื้อ (ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนที่จะประสบความสำเร็จ) ของ Queen ต้องบอกว่าของ Freddie มากกว่า ก็ทำให้เพลงนี้เกิดขึ้นจนได้ ท่ามกลางบรรยากาศของห้องอัดในสภาพของโรงนา ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็สะท้อนให้เห็นว่าความคิดของ Ray ผิดอย่างสิ้นเชิง เพลงได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม (ถึงช่วงแรกจะยังไม่เป็นที่ยอมรับก็ตาม) การยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ การไม่กล้าที่จะแตกต่าง และการมองเห็นในมุมเดียว ย่อมทำให้เสียโอกาสดีๆ ไปมากมายหลังจากเพลงนี้โด่งดัง ในวงการเพลงหลังจากนั้น ก็เริ่มมีเพลงที่มีความยาวเกิน 3 นาทีออกมา และก็ประสบความสำเร็จอย่างมากมายเช่นกัน รวมถึงมีหลายๆ วงเริ่มมีการนำดนตรีหลากหลายแนวมาผสมผสานกันจนเกิดเป็นเสียงใหม่ๆ มากขึ้น ต้องถือว่า Queen เป็นผู้บุกเบิกและผู้นำของการสร้างมิติใหม่ให้กับวงการเพลงในยุคนั้นเลย และผลก็ออกมาดีมากขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง ตอนดูหนังเรื่องนี้ สงสัยว่าใครที่แสดงเป็น Ray Foster ว่าหน้าคุ้นๆ พอกลับมาค้นดูอีกทีถึงรู้ว่าเป็นนักแสดงชื่อดังคนหนึ่ง คือ Mike Myers ทำให้นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่ผมเองเคยดูในอดีตและชอบมากเรื่องหนึ่งที่ Mike แสดง และถ้าจำไม่ผิดเป็นคนสร้างด้วย ชื่อ Wayne’s World ซึ่ง Mike รับบทเป็นนักดนตรีที่พยายามสร้างชื่อเสียงด้วยความคิดแปลกๆ และออกจะเพี้ยนๆ ด้วย และเหมือนว่า Bohemian Rhapsody จะเล่นมุขกับหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะในฉากเปิดเรื่องของ Wayne’s World พระเอกของเราจะกระโดดขึ้นรถที่เพื่อนขับมารับ และหยิบเทปคาสเซ็ตมาใส่ในรถ ลองทายดูสิครับว่าเปิดเพลงอะไร ... ใช่แล้วครับ Bohemian Rhapsody ที่อีก 26 ปีต่อมา Mike จะต้องมาเล่นบทที่ต้องบอกว่าเพลงนี้ยังไงก็ไม่มีทางดัง (ฮา)นอกจาก Bohemian Rhapsody แล้ว อีกเพลงหนึ่งที่น่าสนใจคือ We will rock you ที่เริ่มต้นจาก Brian May ต้องการให้มีเพลงที่เปิดโอกาสให้แฟนเพลงได้มีส่วนร่วมในขณะเล่นเพลงนี้บนเวทีคอนเสิร์ต เลยคิดถึงการปรบมือและกระทืบเท้าเป็นจังหวะ จนเกิดเป็นจังหวะที่ฮิตไปทั่วโลก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าเนื้อเพลงเป็นอย่างไร ถือเป็นความสร้างสรรค์อย่างมาก และคิดเลยไปถึงการนำเพลงออกแสดง จะทำอย่างไรให้เป็นที่จดจำและคนชอบ เสียดายที่หนังไม่ได้พูดถึงอีกเพลงที่เปิดโอกาสให้แฟนเพลงมีส่วนร่วมในการแสดงไม่แพ้กัน นั่นคือเพลง Redio Ga Ga แต่ก็เอามาร้องในช่วงท้ายของหนังในคอนเสิร์ต Live Aidหรือจะเป็นเพลง Another One Bites the Dust ที่ผมชอบจากจังหวะเบสตอนเริ่มเพลง ก็เพิ่งรู้ว่ามาจากการออกแบบของ John Deacon มือเบสของวงเองด้วย เสียดายที่หนังไม่ได้พูดถึงอีกเพลงที่โด่งดังอย่างมากของวงอย่าง We are the Champion ว่าเป็นมาอย่างไร แต่การได้ฟังเพลงนี้ในตอนท้ายของเรื่องก็เป็นการเติมเต็มของหนังที่สมบูรณ์มาก เป็นความอิ่มเอมระดับสิบเต็มของแฟนเพลงวง Queen เลยมีฉากหนึ่งที่ผมชอบมาก เป็นคอนเสิร์ตที่ Rio ประเทศบราซิลกับเพลง Love of My Life ซึ่งเป็นเพลงที่ Freddie แต่งให้คนรัก (ที่เป็นผู้หญิง) ของตัวเอง นั่นคือ Mary Austin เป็นเพลงเพราะๆ ที่ท่วงทำนองและเนื้อหาที่งดงาม และยิ่งในคอนเสิร์ตนี้ที่ Brian May เล่นกีตาร์อคูสติกและคนเป็นแสนร่วมร้องเพลงนี้ สายตาของ Freddie ที่มองลงไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทั้งความสุข ความเศร้า ความรัก ความเหงา ในหนัง Freddie เอาเทปคอนเสิร์ตช่วงเพลงนี้มาเปิดให้ Mary ดู ก่อนที่จะเผยเรื่องราวที่สำคัญที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของทั้งคู่ไปตลอดกาลขอพูดถึงงาน Live Aid หน่อย ถึงวันนี้ก็ผ่านมา 33 ปีแล้ว คอนเสิร์ตนี้จัดขึ้นในปี 1985 เพื่อหาเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแอฟริกา โดยมีหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานคือ Sir Bob Geldof จริงๆ ในช่วงนั้นความดังของวงควีน ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าศิลปินคนอื่นๆ ที่ได้ขึ้นเวที ไม่ว่าจะเป็น Elton John, Sir Paul McCartney , U2, Phil Collin, David Bowie, The Who, Eric Clapton, Madonna, Santana และอีกมาหมาย แต่เนื่องจากการแยกวงเป็นศิลปินเดี่ยวของ Freddie ทำให้ไม่มั่นใจว่าวงควีนจะยังมีอยู่และได้ขึ้นเล่นหรือเปล่า และเมื่อตัดสินใจเข้าร่วมงานในตอนหลัง ทำให้ต้องเล่นในช่วง 6 โมงเย็น ขณะที่ศิลปินดังๆ จะเล่นกันตอนท้ายคอนเสิร์ตท่ามกลางแฟนเพลงนับแสนทั้งในสนาม Wembley Stadium เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ และที่ถ่ายทอดไปยังอีกเวทีหนึ่งนั่นคือ John F Kennedy Stadium เมืองฟิลาเดเฟีย สหรัฐอเมริกา และถ่ายทอดสดไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก รวมแล้วกว่าพันล้านคน Freddie และ Queen ได้สร้างการแสดงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาในช่วงเวลาเพียงแค่ 20 นาที การแสดงที่ทรงพลังสุดๆ ของ Freddie รวมถึงการสอดประสานทางดนตรีอย่างเข้ากันทั้งของ Brian May (กีตาร์) Roger Taylor (กลอง) และ John Deacon (เบส) และการมีส่วนร่วมของแฟนเพลงทั้งในสนามและทั่วโลกส่งผลให้เป็นการโชว์ที่โดดเด่นอย่างมาก จนหลายคนลืมการแสดงของศิลปินคนอื่นไปเลย มีเรื่องเล่า (ไม่รู้จริงแค่ไหน) ที่ว่าพอการแสดงของ Queen จบ Elton John ศิลปินระดับโลกอีกคนที่มีคิวแสดงในช่วงค่ำ ถึงกับออกมาบอกว่า Freddie และ Queen ได้เอาการแสดงที่ดีที่สุดของงานนี้ไปแล้ว เป็น 20 นาทีที่สุดยอดจริงๆช่วงที่กลับมารวมตัวกัน มีคำพูดหนึ่งของ Freddie ที่พูดถึงความหมายของครอบครัว ที่บอกว่า ครอบครัวของเขาคือการมี Roger คอยขัดคอตลอด มี Brian ที่คอยแก้ไขเนื้อเพลงใหม่หมด มี Deacon ที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้ตลอดเวลา นั่นแหละคือครอบครัวที่แท้จริงในความรู้สึกของ Freddie ครอบครัวที่ให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก และมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ และกว่าเขาจะรู้ตัวและเดินกลับมาหาครอบครัวได้ ก็เมื่อเขาเหลือเวลาไม่มากนักแล้วFreddie Mercury จากไปในวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 1991 ด้วยวัย 45 ปี เขาได้ทิ้งผลงานดีๆ ในระดับตำนานไว้ให้มากมาย ตลอดเวลาบนเส้นทางนี้ Freddie ได้เลือกเดินและทำบนความเชื่อเสมอว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไรและเพื่อทำสิ่งใด อย่างที่เขาได้บอกไว้ในหนังว่า “เขาจะเป็นในสิ่งที่เขาเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนั้น” (I will be what I born to be) เครดิตภาพ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3