เชื่อว่าเพียงแค่เห็นภาพทุกคนก็จะร้องอ๋อ !! ที่นี้นี้เอง อืมใช่ ๆ มันสวย ว่าแต่ที่นี้มันที่ไหนกันล่ะ เอาล่ะ !! ขอเฉลยในบทความนี้กันเลยก็แล้วกันนะคะ จากภาพหน้าปกของบทความที่เพื่อน ๆ เห็นกัน นั่นคือเมือง " Hallstatt " ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ริมทะเลสาปที่สวยที่สุดในโลก และน้ำในทะเลสาปมันก็ใสเอามาก ๆ จริงๆ เมืองนี้ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรีย แถมที่นี้ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ตลอดเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่มาที่นี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ราวกับความฝันจริง ๆ ค่ะ เพราะตั้งแต่มาถึงเดินเลาะทางเดินที่เต็มไปด้วยบ้านสไตล์น่ารัก ๆ อบอุ่น ๆ ด้านหลังเป็นวิวภูเขาขนาดใหญ่ที่คอยโอบล้อมหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ไว้พร้อมกับทะเลสาปที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างมันทำให้เราได้กลิ่นไอความโรแมนติกขึ้นมาทันที อย่างที่บอกกันไว้ ตามทางเดินในหมู่บ้านนี้จะเป็นชุมชนซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงเป็นที่พัก โฮมสเตย์ และร้านขายเกลือเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ไปหมดแล้ว แต่แบบบ้านและชุมชนก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เดิมอยู่ บ้านของคนที่นี้ส่วนใหญ่จะปลูกอยู่ลดหลั่นกันไปตามเชิงเขาที่สลับกันไปมา เมื่อเดินเข้ามาจากที่รถเราจอดสักประมาณ 5 นาที เพื่อน ๆ ก็จะได้พบกับโบสถ์ประจำหมู่บ้าน ซึ่งต้องขอบอกว่าสวยทั้งภายในและภายนอกเลยจริง ๆ โบสถ์ที่สูงตระหง่านตั้งอยู่ริมทะเลสาปสีน้ำเงินที่กำลังสะท้อนกับแสงพระอาทิตย์ในยามเย็น ที่นี้วิวหลักล้านค่ะ ขอบอก !! และเมื่อเดินผ่านโบสถ์เข้าไป ที่นี้ก็จะถึงจุดแลนด์มาร์คของการถ่ายรูปกันแล้วล่ะค่ะ รับรองว่าถ้าใครมาที่ hallstatt แล้วไม่ได้ถ่ายรูปมุมนี้ ถือว่าพลาดแล้วด้วยประการทั้งปวง ฉะนั้นหากใครไปก็อย่าพลาดเชียวนะคะ แอบกระซิบนะคะ !! มุมนี้รีบถ่ายรีบกดชัดเตอร์นะคะ เพราะเบื้องหลังคิวยาวมากค่ะ เมื่อได้ภาพเป็นที่น่าพอใจ เราไปผจญภัยกันดีกว่านะคะ ที่นี้เขามีกระเช้าให้นั่งขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาด้วยนะคะ แต่หากใครชอบแนว Adventure นิดหน่อยจะได้เก็บไว้เป็นภาพจำ งานนี้ก็เดินขึ้นเขากันก็ได้ค่ะ (หากใครมากับแฟนรีบชวนเดินขึ้นเขานะคะ เพราะจะได้รู้ว่าเขารักเรามากแค่ไหน เขาว่ากันว่าจะรู้ว่ารักกันมากแค่ไหนให้ดูตอนขึ้นเขาเนี่ยแหละค่ะ) จากตีนเขาถึงยอดเขาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เป็น 1 ชั่วโมงที่น่าประทับใจค่ะ เพราะระหว่างทางเราจะได้ชมความงามกันไปเรื่อย ๆ เก็บเกี่ยวธรรมชาติในแบบประชิดติดตัวกันเลยทีเดียว หรือจะหยุดพักเซลฟี่ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็โรแมนติกไปอีกแบบนะคะ เก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีค่ะ ทางเดินในช่วงขึ้นเขาในช่วงแรก ๆ จะค่อนข้างแคบเล็กน้อย คือแบบเดินขึ้นลงได้คนเดียวค่ะ จะเดินสวนกันค่อนข้างที่จะลำบาก แต่พอขึ้นไปสักประมาณ 10 เมตรเห็นจะได้ก็จะเป็นทางเดินที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ ขึ้นไปได้สักพักจะพบกับธารน้ำตกที่ไหลมาจากยอดเขาลงสู่ทะเลสาปเบื้องหน้า โอ๊ย !! งานนี้ฟินไปอีก ไหนจะภูเขา ไหนจะทะเลสาป แถมยังได้เจอน้ำตกอีก สุดยอด !! และเราก็มาถึงจุดสูงสุดของความตั้งใจในการเดินขึ้นเขาในต่างประเทศเป็นครั้งแรกค่ะ วันนี้โชคดีมาก ๆ การมาเที่ยวครั้งนี้เป็นการมาเที่ยวในช่วงเดือนมีนาคม ยังพอจะได้เห็นหิมะอยู่บ้างค่ะ หากเพื่อน ๆ คนไหนอยากสัมผัสวิวแบบนี้ ลองมาเที่ยวกันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือช่วงต้นเดือนมีนาคมนะคะ อากาศอยู่ที่ 3-8 องศาเท่านั้นค่ะ กำลังสบาย ๆ รับรองยิ้มแก้มปริ และเก็บทุกภาพ ทุกนาที ไว้ในความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลยทีเดียว เมื่อขึ้นมาบนยอดเขาแล้วต้องอย่าลืมมาถ่ายรูปตรงจุดแลนด์มาร์คของที่นี้นะคะ จุดถ่ายรูปตรงนี้เคยถ่ายทำละครเรื่องเพลิงนรีด้วยค่ะ คือมันสวยจริง ๆ อยากให้ทุกคนมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงความสวยงามของที่นี้ค่ะ หากถามว่าตอนนี้ยังอยากไปที่นี้อีกไหม คำตอบมีเพียงคำตอบเดียวค่ะ เมื่อมีโอกาสเมื่อไหร่ ที่นี้จะเป็นที่แรก ๆ ที่อยากไปใจจะขาดเลยทีเดียว ภาพหน้าปก Cr : https://pixabay.com/