ในโลกที่ข่าวสารเดินทางได้รวดเร็ว ในยุคที่ข้อมูลไร้พรมแดน เราทุกคนสามารถเข้าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านสื่อออนไลน์ เว็บไซต์ โทรทัศน์ ทั้งระบบดิจิตอล และโทรทัศน์ดาวเทียม ทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อกระแสรอง รวมไปถึง Fake News อีกมากมายด้วย แน่นอนว่าใคร ๆ ก็เป็นสื่อได้ง่ายขึ้น และเมื่อมีข้อมูลเกิดขึ้นมาก การกลั่นกรองข้อเท็จจริงก็ทำได้น้อยลง อะไรจริง อะไรลวง เลยกลายเป็นเรื่องที่ยากจะตรวจสอบ แต่ในสังคมที่ยากจะตรวจสอบนั้น กลับเปิดช่องทางให้แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์กันได้อย่างเต็มที่ จนบางครั้งผู้คนบนโลกออนไลน์ ก็ตั้งตนเป็นศาลเตี้ยกล่าวโทษคนอื่น ตั้งตนเป็นผู้พิพากษาสังคมซะเอง บางเรื่องกว่าจะรู้ตัวว่าผิดพลาด ผู้ถูกกล่าวหาก็รับเคราะห์ไปเต็ม ๆ แล้ว เพราะข่าวด้านลบมักเดินทางได้ไว และไปไกลกว่าข่าวด้านบวกมากมายนัก ขอบคุณภาพจาก pxhere เมื่อสังคมออนไลน์เปิดให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ โดยบางครั้งหากขาดการยับยั้งชั่งใจในเหตุผล การรุมสกรัมทางความคิดก็เกิดขึ้น และพอเกิดขึ้นแล้ว ก็หนีไม่พ้นการใช้ Hate Speech หรือ คำพูดแสดงความเกลียดชัง เคยมีงานวิจัยแบ่ง Hate Speech ออกเป็น 3 แบบ นั่นคือ การพูดกล่าวหาโดยการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น เช่น การหยามเหยียด ดูถูกดูแคลน เหยียดเชื้อชาติ เปรียบมนุษย์เป็นสัตว์ต่าง ๆ นานา การพูดกล่าวหา ลดคุณค่าคนอื่น เช่น การจิกด่า การตั้งข้อรังเกียจ การลดทอนการกระทำ การลดทอนอุดมการณ์ทางความเชื่อ การพูดกล่าวหาโดยการนำไปสู่ความรุนแรง เช่น การข่มขู่คุกคาม แสดงความอาฆาตมาดร้าย ยุยงปลุกปั่น ขอบคุณภาพจาก pexels โดย Vera Arsic แต่ Hate Speech ก็ไม่ได้มาจากภาษาพูดเพียงอย่างเดียว Hate Speech ยังมาในรูปแบบภาษากาย ภาษาภาพ ภาษาท่าทางได้ด้วย อาจจะแสดงผ่านทางคลิปวิดีโอ หรือภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ และที่สำคัญก็ไม่ได้เกิดมาจากปลายทางอย่างเดียว หลายครั้งหลายหนก็มาจากสื่อต้นทางด้วย ไม่ว่าจะเป็นพาดหัวหนังสือพิมพ์ การจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ เว็บไซต์ต่าง ๆ บ่อยครั้งที่เห็นก็มีเนื้อหาที่เข้าข่าย Hate Speech ชี้นำสังคมให้แตกแยกทางความคิด ซึ่งตรงนี้ แม้ว่ายังมีเรื่องของสถาบัน หรือหน่วยงานดูแลอยู่ก็ตามเถอะ แต่บางครั้งก็ยากจะครอบคลุมได้ทั่วถึง เพราะจริยธรรมจะกลายเป็นเรื่องของมุมมองที่ไม่เหมือนกันไป ไม่ก็เป็นเรื่องของพวกใครพวกมัน การปล่อยให้ควบคุมดูแลกันเอง ก็อาจจะไม่เป็นผลดีเท่ากับการมีกฎหมาย หรือมาตรการใดใดที่ชัดเจนมากำกับดูแลคุณภาพ ขอบคุณภาพจาก pxhere เราอาจมองว่า Hate Speech เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นการด่าทอ บันดาลโทสะ หรือแสดงออกเพื่อระบายอามณ์ แต่ Hate Speech ส่งผลร้ายในโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่านั้น อย่างเช่น หากนำไปใช้ในการปลุกระดม ชักชวนให้ออกมาทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่เราเห็นกันจากข่าวหลาย ๆ ข่าวมาแล้วนั้น หากกลุ่มคนที่ออกมารวมตัวกันขาดวิจารณญาณที่ดีพอ ก็จะนำไปสู่ผลร้ายแรงที่ขยายวงกว้างจนเราคาดไม่ถึงได้ทีเดียว ขอบคุณภาพจาก pxhere ในโลกออนไลน์การกล่าวร้ายป้ายสีใส่กันทำได้ได้ง่าย ๆ และส่งผลให้ความเกลียดชังนี้ ถูกฝังลงในรากฐานของความคิดของหลายคนแบบไม่รู้ตัว จนทำให้เป็นคนก้าวร้าว อคติรุนแรง ขาดสติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันให้ความรู้ความเข้าใจเรื่อง Hate Speech กันให้มากกว่านี้ และคนในสังคมก็ต้องช่วยกันอีกแรงในการยับยั้งการกระทำลักษณะดังกล่าว สร้างสังคมให้เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น สร้างสังคมให้ยอมรับในความแตกต่างมากขึ้น สร้างสังคมให้เชื่อในเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกอย่างถูกต้องมากขึ้น เราทั้งหลายที่อยู่บนโลกออนไลน์นี่แหละ ที่จะช่วยเรื่องเหล่านี้ได้ หยุดขยายความคิดเห็น หรือประเด็นที่ผิด ๆ หยุดสนับสนุนเนื้อหาที่เข้าข่ายแสดงความเกลียดชัง เพื่อคืนสังคมที่น่าอยู่ให้กับตัวเราเอง และคนรุ่นต่อ ๆ ไป ขอบคุณภาพจาก pxhere และภาพปกจาก pxhere